อัปเดตเทรนด์ SEO ครึ่งปี 2025 ก่อนวางแผนการตลาดออนไลน์ ปีหน้า

  • Home
  • Digital Marketing New
  • อัปเดตเทรนด์ SEO ครึ่งปี 2025 ก่อนวางแผนการตลาดออนไลน์ ปีหน้า
การตลาดออนไลน์

Table of Contents

    การตลาดออนไลน์ในปี 2025 ก็ก้าวเข้าสู่ช่วงครึ่งหลังกันเรียบร้อยแล้ว ซึ่งนับเป็นช่วงเวลาสำคัญที่นักการตลาดออนไลน์หลายๆ คนต้องหันมามองภาพใหญ่ และเตรียมปรับตัวกันครั้งใหญ่เลยทีเดียว โดยเฉพาะวิธีเขียนบทความ และเทคนิคการทำ SEO ที่ดูเหมือนว่าวิธีเดิมๆ จะใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป เพราะ AI กำลังจะเข้ามาเปลี่ยนโฉมหน้าผลการค้นหาไปอย่างสิ้นเชิง

    บทความนี้จึงเป็นการสรุปทุกเทรนด์สำคัญๆ พร้อมไกด์ไอเดียให้ทุกคนเอาไปลงมือทำตามได้จริงด้วย นอกจากนี้ และสำหรับใครที่อยากอัปสกิลทีมให้เก่งครบเครื่องทั้งการวางกลยุทธ์และการลงมือทำ ก็ลองวางแผนเรียนรู้เพิ่มเติมจากคอร์ส Digital Marketing หรือจะเพิ่มความเข้าใจแบบยกทีมด้วยการจัดอบรมการตลาดภายในองค์กร และเพิ่มความเข้าใจฝั่งมีเดียด้วย Performance Marketing Course ควบคู่กันไปด้วยก็ได้

1. AI Overviews เริ่มครองอัลกอริทึม

   จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของการทำการตลาดออนไลน์ในตอนนี้ คงหนีไม่พ้นการมาของ ‘AI Overviews’ หรือข้อมูลที่ถูกสรุปโดย AI ที่โชว์ขึ้นมาเป็นส่วนแรกสุดของหน้าค้นหา Google ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มขยายการใช้งานไปในหลายประเทศ และหลายภาษามากขึ้นแล้ว ทำให้พื้นที่ตรงนี้กลายเป็นเหมือนทำเลทอง ที่ใครๆ ก็อยากให้คอนเทนต์ของตัวเองถูกเลือกไปโชว์เป็นคำตอบแรกสุด โดยเฉพาะเมื่อต้องสู้กันด้วยคีย์เวิร์ดที่การแข่งขันดุเดือดอย่างกลุ่มให้ความรู้ และรีวิวสินค้า

    แล้วจะทำยังไงให้ AI เลือกคอนเทนต์ของเราไปโชว์ดีล่ะ คำตอบก็คือเราก็ต้องปรับแนวทางมาเน้นสร้างเนื้อหาที่ตอบคำถามได้อย่างชัดเจน ตรงไปตรงมา มีแหล่งอ้างอิงที่น่าเชื่อถือมากขึ้น เพื่อให้ระบบ AI หยิบข้อมูลของเราไปสรุปต่อได้ง่ายๆ นั่นเอง

 

ตัวอย่างเช่น

    ถ้าเราเขียนบทความเรื่องคอร์ส Digital Marketing กับ Performance Marketing Course ต่างกันอย่างไร ก็ควรเขียนเนื้อหาที่สรุปให้ชัดเจนในทันที เช่น

        – คอร์ส Digital Marketing: จะเน้นสอน ภาพรวม เพื่อให้คุณเข้าใจทุกส่วนของการตลาดออนไลน์ ตั้งแต่การวางแผน, SEO, Content ไปจนถึง Social Media

        – ส่วน Performance Marketing Course: จะเจาะลึกเฉพาะเรื่อง การทำโฆษณาที่วัดผลได้ เช่น การยิงแอด, การอ่านข้อมูล, และการสร้างยอดขายโดยตรง

เพื่อให้ทั้ง คนอ่าน สามารถเข้าใจคำตอบได้ทันทีในไม่กี่วินาที และในขณะเดียวกันก็เป็น การจัดโครงสร้างข้อมูลให้ AI ของ Google เข้าใจและมองว่าเนื้อหาของเรามีคุณภาพพอที่จะหยิบไปสรุปโชว์ในหน้าแรก

2. User Signals ส่งผลต่ออันดับโดยตรง   

    เพราะไม่ว่าเทคนิคจะเปลี่ยนไปแค่ไหน แต่เป้าหมายใหญ่ของงานการตลาดออนไลน์ คือการสร้างเนื้อหาที่ Google รักซึ่งก็คือเนื้อหาที่คนอ่านชอบนั่นเอง เนื่องจาก Google ใช้หลักการอย่าง E-E-A-T และ Helpful Content มาเป็นไม้บรรทัดในวัดคุณภาพเนื้อหาของเราอยู่เสมอ ดังนั้นกฎง่ายๆ คือเนื้อหาต้องมาจากข้อมูลเชิงลึกที่เชื่อถือได้ หรือประสบการณ์จริงของผู้เขียน ที่สามารถตอบคำถามที่คนสงสัยได้ทันที รวมถึงต้องอ่านง่ายด้วย การทำตามแนวทางนี้ จึงเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ และส่งผลดีต่ออันดับในระยะยาวของบทความการตลาดออนไลน์ทุกชิ้น

ตัวอย่างเช่น
ถ้าต้องการเขียนให้คนรู้ว่าคอร์ส Digital Marketing มีการสอนเรื่องอะไรบ้างแทนที่จะลงรายละเอียดทั้งหมด ควรบอกขอบเขตให้ชัดในประโยคเดียว เช่น ในการเรียนคอร์ส Digital Marketing นี้ คุณจะได้เรียนครอบคลุมตั้งแต่การวางแผน, การทำ SEO, การเขียน Content ไปจนถึงการยิงแอดเบื้องต้น

.

หรือถ้าต้องการให้คนรู้ว่าใครเหมาะกับการเรียนในคอร์สนี้บ้างก็สรุปกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจนไปเลย เช่น คอร์สอบรมการตลาดนี้ออกแบบมาเพื่อ เจ้าของธุรกิจ นักการตลาดที่ต้องการอัปสกิล และผู้ที่อยากย้ายสายงานมาทำด้านการตลาด เป็นต้น

.

เพื่อให้คนอ่านเจอคำตอบที่ใช่ในทันที และไม่รู้สึกว่าคลิกเข้ามาเสียเที่ยว จนต้องรีบกดออกไปหาคำตอบจากเว็บอื่น เพราะการทำให้คนอยู่บนหน้าเว็บของเรานานๆ คือหนึ่งใน User Signals ที่ทรงพลังที่สุดที่บอก Google ว่าหน้าเว็บนี้มีคุณภาพ และควรได้อันดับที่ดีขึ้น

3.Brand Authority จะมีน้ำหนักมากขึ้น

    ลองจินตนาการว่า Google เป็นเหมือนคนแนะนำคนหนึ่ง ที่ถ้าจะแนะนำร้านอาหารสักร้าน คุณคงเลือกร้านที่มีภาพรวมน่าเชื่อถือ ไม่ใช่แค่ร้านที่มีเมนูอร่อยแค่อย่างเดียวใช่ไหม และนี่ก็คือหลักการเดียวกันที่กำลังถูกนำมาใช้กับการจัดอันดับเว็บไซต์ในตอนนี้นี่แหละ

นี่จึงเป็นเหตุผลที่ Brand Authority หรือความน่าเชื่อถือของเว็บ และแบรนด์ มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะ Google ไม่ได้จัดอันดับจากการดูแค่บทความเดียวอีกต่อไป แต่ดูภาพรวมทั้งหมดว่าเว็บของคุณน่าเชื่อถือแค่ไหน ซึ่งก็วัดผลผ่านหลักการ E-E-A-T จากหัวข้อที่แล้วนั่นเอง

    ดังนั้นการทำงานการตลาดออนไลน์ ยุคใหม่จึงต้องใส่ใจกับการตอบคำถามเหล่านี้ให้ชัดเจนทั่วทั้งเว็บ ตั้งแต่การบอกว่าเราคือใครผ่านหน้า About Us การอธิบายว่าเราทำงานอย่างไร ไปจนถึงการแสดงให้เห็นว่าคนอื่นพูดถึงเราว่าอย่างไรผ่านการรีวิวจากลูกค้าตัวจริง เพื่อเป็นการสะสมคะแนนความน่าเชื่อถือ เมื่อคะแนนสูงพอ บทความใหม่ๆ ที่เราปล่อยออกมา ก็จะมีโอกาสติดอันดับได้ง่ายขึ้นโดยอัตโนมัติ

ตัวอย่างเช่น
    แทนที่จะปล่อยบทความไปเฉยๆ ควรจะมีการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้เขียน และเนื้อหาเพิ่มเข้าไปด้วย เช่น ในบทความรีวิว Performance Marketing Course นอกจากเนื้อหาจะดีแล้ว ควรมีกล่องประวัติผู้เขียนสั้นๆ ท้ายบทความว่า บทความนี้เขียนโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดออนไลน์ที่มีประสบการณ์ในวงการกว่า 10 ปี และเป็นผู้สอน Performance Marketing Course นี้ด้วย เพื่อทำให้เนื้อหาน่าเชื่อถือมากขึ้น

    อีกวิธีคือการสร้างหน้าเว็บเฉพาะขึ้นมาเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับคอร์สอบรมการตลาดของเรา เช่น สร้างหน้าสถิติความสำเร็จของผู้เรียนรุ่นก่อนๆ เพื่อทำให้แบรนด์ดูน่าเชื่อถือมากขึ้นในระยะยาว

 

Right Lane แนะนำ !!

หากใครสนใจอยากเจาะลึกเรื่องการสร้าง Brand Authority ให้แข็งแกร่งขึ้นไปอีกขั้น สามารถอ่านแนวทางทั้งหมดได้จากบทความ

🔗 สร้างแบรนด์ให้แข็งแรงต้องรู้และทำอะไรบ้าง?

 

4. กระจาย Traffic ให้คนเข้าเว็บจากหลายช่องทาง เพื่อป้องกันอันดับร่วง

   ทุกวันนี้เวลาคนไทยจะหาข้อมูลอะไรสักอย่าง ก็ไม่ได้หาจาก Google แค่ช่องทางเดียวอีกต่อไปแล้ว แต่หลายๆ คนจะสลับไปมาระหว่างแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อหาคำตอบที่ดีที่สุด ยิ่งเป็นข้อมูลล่าสุดก็จะยิ่งได้รับความสนใจมากขึ้น ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วในตอนนี้คนหนึ่งคนจะใช้แพลตฟอร์มค้นหาถึง 5-6 แห่ง ที่รวมทั้งแอปวิดีโอสั้น และแอปชอปปิงเข้าไปด้วย

    พอพฤติกรรมคนเปลี่ยนไปแบบนี้ กลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่หวังพึ่ง Traffic จาก Google แค่ทางเดียว จึงกลายเป็นเรื่องที่เสี่ยงสุดๆ ดังนั้นการกระจายความเสี่ยงด้วยการดึงคนให้เข้ามาที่เว็บเราจากหลายๆ ทางจึงเป็นสิ่งที่หลายๆ คนต้องปรับตัวให้ได้ โดยจำเป็นต้องเริ่มสร้างตัวตนของแบรนด์ในที่อื่นๆ ที่ลูกค้าอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นใน Social Media วิดีโอ อีเมล หรือแม้แต่ในคอมมิวนิตี้ออนไลน์ต่างๆ ด้วย

ตัวอย่างเช่น
    แทนที่จะรอคนมาเจอคอร์สของเราจาก Google เพียงอย่างเดียว อาจเปลี่ยนเป็นทำคลิปสั้นลง TikTok หรือ YouTube Shorts ในหัวข้อ 3 เทคนิคเช็ก ROAS แบบง่ายๆ ที่คนทำโฆษณามือใหม่ต้องรู้ แล้วปิดท้ายคลิปด้วยการชวนให้คนไปอ่านบทความฉบับเต็มหรือดูรายละเอียด Performance Marketing Course ที่ลิงก์ในหน้าโปรไฟล์แทน

หรือการเข้าไปตอบคำถามในกลุ่ม Facebook ที่นักการตลาดรวมตัวกัน เช่น เมื่อมีคนถามว่า อยากเริ่มต้นศึกษาเรื่องอบรมการตลาดควรเริ่มจากอะไรดี ก็ให้เข้าไปให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์จริงๆ พร้อมทิ้งท้ายไว้ประมาณว่าเคยเขียนสรุปเรื่องนี้แบบละเอียดไว้ ลองไปอ่านเพิ่มเติมได้ที่เว็บนี้ได้เลย จะช่วยเพิ่ม Traffic ได้มากขึ้น

 

Right Lane แนะนำ !!

แน่นอนว่าการต้องสร้างคอนเทนต์สำหรับทุกช่องทางก็อาจทำให้หลายคนหมดไอเดียได้ง่ายๆ หากใครกำลังมองหาสูตรคิดคอนเทนต์ที่ทำได้เรื่อยๆ แบบไม่มีวันหมด สามารถอ่านต่อได้ที่บทความ

🔗 แจกสูตรคิดคอนเทนต์แบบไม่มีวันหมด ฉบับนักการตลาดออนไลน์

5. ต้องปรับตัวเข้าสู่ยุค Search Everywhere Optimization

    ในยุคที่ผู้คนเลือกจะค้นหาข้อมูลบนทุกแพลตฟอร์ม การมีตัวตนแค่บน Google อาจไม่เพียงพออีกต่อไป โดยเฉพาะวิดีโอสั้นที่กลายเป็นเครื่องมือค้นหาที่ทรงพลัง และมักจะทำหน้าที่เป็นประตูบานแรกที่ชวนให้คนดูไปค้นหาวิดีโอตัวเต็มที่ให้ข้อมูลละเอียดกว่าเดิม

    ดังนั้นกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่สำคัญสำหรับปีหน้า จึงหนีไม่พ้นการปรับตัวเข้าสู่ Search Everywhere Optimization หรือก็คือการทำให้แบรนด์ไปปรากฏตัวในทุกที่ที่ลูกค้าอยู่ ด้วยการสร้างเนื้อหาที่เหมาะกับบริบทของแต่ละช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นคอนเทนต์บน Google วิดีโอสำหรับ YouTube และ TikTok หรือแม้แต่การเข้าไปพูดคุยในคอมมิวนิตี้ออนไลน์ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อสร้างTouchpoint กับลูกค้าให้ได้มากที่สุด ซึ่งก็จะเป็นการช่วยกระจาย Traffic ได้เหมือนกับข้อมูลในข้อก่อนหน้า

ตัวอย่างเช่น
    เพื่อโปรโมต Performance Marketing Course อาจนำเรื่องราวความสำเร็จของนักเรียนที่เรียนจบไปแล้วมาสร้างเป็นคอนเทนต์หลายรูปแบบ เช่น ทำวิดีโอสัมภาษณ์ฉบับเต็มลง YouTube ตัดไฮไลท์สั้นๆ เป็นคลิปรีวิวลง TikTok หรือทำสรุปผลลัพธ์ที่น่าสนใจเป็นภาพ Infographic และลิงก์ทุกคอนเทนต์กลับมาที่หน้าสมัครเรียนของคอร์ส

    หรือจะสร้างคอนเทนต์เกี่ยวกับ คอร์ส Digital Marketing โดยทำเป็นคลิป TikTok สรุปสิ่งที่คนเข้าใจผิดเกี่ยวกับการตลาดดิจิทัล แบบสนุกๆ เพื่อสร้างการรับรู้ และความสนใจให้มากขึ้น แล้วจึงชวนให้ไปอ่านคำอธิบายแบบเจาะลึกในบทความบนเว็บไซต์อีกที เพื่อดึง Traffic จาก Social Media กลับมาที่เว็บหลัก

6. Voice Search Optimization โตต่อเนื่อง

    ในปัจจุบันพฤติกรรมการค้นหาไม่ได้จำกัดอยู่แค่การพิมพ์อีกต่อไปแล้ว เพราะทุกวันนี้ผู้คนไม่ได้แค่พิมพ์แต่หันมาใช้เสียง และภาพในการค้นหามากขึ้นเรื่อยๆ อย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นนักทำการตลาดออนไลน์ จึงจำเป็นต้องปรับวิธีการสร้างคอนเทนต์ และบทความให้รองรับพฤติกรรมใหม่ๆ เหล่านี้ด้วย ซึ่งก็คือการทำเนื้อหาให้เป็นภาษาพูดมากขึ้น รวมถึงตอบคำถามที่คนสงสัยแบบตรงไปตรงมา และการเพิ่มส่วนคำถามที่พบบ่อยที่ชัดเจนไว้ในหน้าเว็บด้วย เพราะว่าเมื่อคนใช้เสียงค้นหา พวกเขามักจะถามเป็นประโยคยาวๆ การมีเนื้อหาที่ตรงกับคำถามเหล่านั้นจึงเพิ่มโอกาสให้เว็บของเราถูกเลือกไปแสดงผลเป็นคำตอบมากขึ้น

ตัวอย่างเช่น
    เพื่อให้ตอบโจทย์คนที่ใช้เสียงถามเป็นประโยคยาวๆ ในหน้าเว็บของการขายคอร์ส Digital Marketing ให้เพิ่มส่วนคำถามที่พบบ่อย ที่เขียนจากคำถามที่คนถามจริงๆ เช่น เรียนจบคอร์สนี้แล้วเอาไปสมัครงานตำแหน่งอะไรได้บ้าง? แล้วให้ใส่คำตอบตรงๆ ไปในเว็บเช่นกันว่าสามารถนำไปต่อยอดในสายงาน Content, SEO Specialist หรือนักการตลาดได้เลย

    ส่วนการรองรับการค้นหาด้วยภาพ ในหน้ารวมคอร์สอบรมการตลาด ของเว็บไซต์ อาจจะใส่รูปภาพตารางเรียนหรือบรรยากาศในห้องเรียน เอาไว้ และตั้งชื่อไฟล์และใส่คำอธิบายภาพให้ชัดเจนว่าเป็นภาพบรรยากาศจริงในคลาสเรียนอบรมการตลาดสำหรับผู้เริ่มต้น เพื่อให้ AI ของ Google เข้าใจ และสามารถแสดงผลรูปของเราได้ เมื่อมีคนค้นหาด้วยภาพที่ใกล้เคียงกัน

7. Schema Markup เป็นสิ่งจำเป็นมากขึ้น

     ถึงแม้คอนเทนต์จะดีแค่ไหน แต่พื้นฐานฝั่งเทคนิคของเว็บไซต์ก็ยังเป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้อยู่ดี เปรียบเหมือนการสร้างบ้านที่ต้องมีรากฐานที่แข็งแรง ซึ่งปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญคือ Core Web Vitals หรือคุณภาพการใช้งานเว็บไซต์ที่ผู้ใช้จะรู้สึกได้ เช่น ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ ความเสถียรของหน้าจอ ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลต่อประสบการณ์การใช้งานโดยตรง

    ต่อมาคือการทำ Schema Markup เพื่อให้คนข้างนอกบ้านอย่าง Google เข้าใจด้วยว่าบ้านหลังนี้มีอะไร ด้วยการติดป้ายบอกให้ชัดๆ ไปเลย เช่น บอกว่านี่คือข้อมูลสินค้า นี่คือรีวิว หรือนี่คือ Performance Marketing Course เพื่อช่วยให้ Google เข้าใจ และจัดประเภทข้อมูลได้ถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้น

ตัวอย่างเช่น
    การทำหน้าเว็บที่แนะนำคอร์ส Digital Marketing หากมีวิดีโอแนะนำคอร์สขนาดใหญ่ที่ทำให้หน้าเว็บโหลดช้า ก็ควรปรับให้รูปภาพหน้าปกของวิดีโอโหลดขึ้นมาก่อน แล้วค่อยให้ผู้ใช้กดเล่นวิดีโอทีหลัง เพื่อให้หน้าเว็บโดยรวมแสดงผลได้เร็วขึ้น และสร้างประสบการณ์ใช้งานที่ดี

    หรือสำหรับการอบรมการตลาด ที่มีรอบสอน และวัน-เวลาที่ชัดเจน ควรใช้ Event Schema เพื่อบอกข้อมูลสำคัญกับ Google โดยตรง เช่น ชื่อคอร์ส วันที่จัด สถานที่ และราคา ซึ่งจะช่วยให้ Google นำข้อมูลเหล่านี้ไปแสดงผลแบบพิเศษ ในหน้าค้นหาได้

8. UX/UI ส่งผลต่ออันดับมากขึ้น

   นอกจากเรื่อง Core Web Vitals ในข้อที่แล้ว ปัจจัยพื้นฐานอีกอย่างคือหน้าตาเว็บไซต์ ที่จะช่วยให้ประสบการณ์ของผู้ใช้ราบรื่นขึ้นด้วย ทั้งเรื่องหน้าเว็บที่สะอาดตา อ่านง่าย ไม่ซับซ้อน และการใช้งานที่ไม่ติดขัด ไม่ว่าจะเข้ามาเพื่ออ่านข้อมูลหรือซื้อสินค้าก็ตาม

    ดังนั้นเว็บไซต์ที่มอบประสบการณ์ที่ดีจะทำให้คนอยู่ในเว็บได้นานขึ้น และมีส่วนร่วมในเว็บมากกว่าเดิม ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้คือสัญญาณเชิงบวกที่ส่งไปบอก Google ว่าเว็บนี้มีคุณภาพ และควรค่าแก่การได้อันดับที่ดี การให้ความสำคัญกับ UX/UI จึงกลายเป็นอีกหนึ่งความสำคัญของการทำ การตลาดออนไลน์ที่จะช่วยให้แบรนด์สร้างความแตกต่าง และนำหน้าคู่แข่งได้

ตัวอย่างเช่น
    ในหน้าแนะนำคอร์ส Digital Marketing แทนที่จะใส่ข้อมูลทั้งหมดเป็นพารากราฟยาวๆ ก็ปรับดีไซน์ใหม่โดยใช้ไอคอนเข้ามาช่วยแบ่งหัวข้อหลักสูตร และใช้สีหรือกรอบข้อความเพื่อแยกส่วนราคา และปุ่มสมัครเรียนให้เห็นเด่นชัด และกดง่ายขึ้น ทำให้หน้าเว็บโดยรวมดูสะอาดตา และน่าอ่าน

    หรือจะปรับปรุงประสบการณ์ในขั้นตอนการสมัครเรียนอบรมการตลาดโดยลดช่องที่ต้องกรอกในฟอร์มลงให้เหลือเท่าที่จำเป็นจริงๆ และอาจเพิ่มตัวเลือกให้สามารถสมัครเรียนผ่านบัญชี Google หรือ Facebook ได้ในคลิกเดียว เพื่อลดความยุ่งยาก และป้องกันไม่ให้ผู้ใช้งานเลิกสมัครกลางคัน

9. การทำ Featured Snippets และ People Also Ask ช่วยดันอันดับได้

     เวลาเราค้นหาอะไรใน Google เคยสังเกตไหมว่าบางครั้งจะมีฟังก์ชัน Featured Snippet ที่คอยสรุปเนื้อหามาให้ โผล่มาอยู่บนสุดเลย หรือบางทีก็มีลิสต์ที่เขียนว่าคำถามอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องโผล่ขึ้นมาให้กดดูต่อ ซึ่งพื้นที่พิเศษตรงนี้แหละที่เป็นจุดที่เด่น และมีคนคลิกเยอะที่สุด

    ซึ่งที่ Google ทำแบบนี้ก็เพราะต้องการให้คนได้คำตอบที่ตรงประเด็น และเร็วที่สุด แต่ Google จะเลือกคำตอบจากเว็บไหนไปโชว์กันล่ะ คำตอบก็คือเว็บที่เขียนคำตอบได้ชัดเจน และมีโครงสร้างดีที่สุดยังไงล่ะ และรูปแบบที่ Google ชอบหยิบไปใช้บ่อยๆ ก็คือ คำตอบสั้นๆ ที่ตรงประเด็น การอธิบายเป็นข้อๆ หรือการทำเป็นลิสต์รายการ

    ดังนั้น ถ้าอยากให้เนื้อหาของเราไปอยู่ตรงนั้นบ้าง ก็ควรวางโครงสร้างที่จะช่วยให้ทั้งคนอ่านเข้าใจง่าย และ Google ก็เลือกไปใช้งานง่ายเช่นกัน

ตัวอย่างเช่น

    ในบทความที่เกี่ยวกับ Performance Marketing Course อาจเริ่มต้นย่อหน้าแรกด้วยการให้คำจำกัดความที่กระชับและตรงประเด็น เช่น Performance Marketing Course คือคอร์สการตลาดออนไลน์ที่เน้นผลลัพธ์ และวัดผลได้จริง  ซึ่งคำตอบที่ตรงประเด็น และสรุปจบในตัวแบบนี้ มีโอกาสถูกเลือกไปแสดงผลสูง

    หรือหากเขียนตอบคำถามว่า “ขั้นตอนการสมัครเรียนทำอย่างไร?” ในหน้าคอร์สอบรมการตลาด เป็นลิสต์รายการที่ชัดเจน ก็จะเป็นโครงสร้างที่ Google สามารถดึงไปแสดงเป็น Featured Snippet ได้ง่ายมากขึ้น

10. Link Value กลับมามีผลต่อการจัดอันดับ

   ในโลกของการทำ SEO การที่บทความของเรามีลิงก์อ้างอิงในเว็บอื่น ก็เหมือนการได้รับคะแนนโหวตว่าเว็บไซต์ของเรานั้นมีคุณภาพ เพียงแต่ในปัจจุบัน Google จะให้น้ำหนักกับคะแนนโหวตจากเว็บที่น่าเชื่อถือเท่านั้น และมองข้ามลิงก์ที่ดูเหมือนสแปมไป ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดที่จะได้คะแนนโหวตดีๆ คือการสร้างเนื้อหาที่โดดเด่นจนคนอื่นต้องยอมรับ และอยากนำไปอ้างอิง เช่น เนื้อหาเชิงวิเคราะห์ รายงานผลสำรวจ หรือเครื่องมือที่เป็นประโยชน์ และแจกให้ใช้ฟรี พร้อมกับการตรวจสอบดูแลไม่ให้มีลิงก์แย่ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง จะช่วยให้เว็บไซต์ของเราปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

ตัวอย่างเช่น
    แทนที่จะเขียนบทความทั่วไป อาจเปลี่ยนเป็นการทำรายงานสรุปผลสำรวจในหัวข้อ 5 ทักษะการตลาดดิจิทัลที่เป็นที่ต้องการที่สุดในปี 2026 โดยอ้างอิงข้อมูลจากผู้ที่เคยเข้าร่วมอบรมการตลาด ซึ่งข้อมูลเชิงลึก และเป็นต้นฉบับที่เขียนเองแบบนี้ มักจะถูกนำไปใช้อ้างอิง และได้ทำเป็นลิงก์อ้างอิงจากเว็บข่าวหรือบล็อกเกอร์ในวงการเดียวกันมากขึ้น

    หรืออีกวิธีคือการสร้างเครื่องมือออนไลน์ง่ายๆ แต่มีประโยชน์ไว้บนเว็บไซต์ เช่น เครื่องคำนวณงบประมาณโฆษณาเบื้องต้นสำหรับผู้ที่สนใจ เพื่อเชื่อมโยงกับ Performance Marketing Course และเมื่อคนเข้ามาใช้แล้วเห็นว่ามีประโยชน์ ก็มีโอกาสที่จะนำไปแชร์หรือทำเป็นลิงก์หาในเว็บของตัวเองเพื่อแนะนำเครื่องมือนี้ให้คนอื่นใช้ต่อได้อีกด้วย

บทสรุป   

    จากเทรนด์ทั้งหมดที่กล่าวมา จะเห็นภาพชัดเจนว่าหัวใจของการทำ SEO ในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 ได้เปลี่ยนจากการโฟกัสที่เทคนิคเพียงอย่างเดียว มาสู่การสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้ผู้ใช้อย่างเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการมาของ AI Overviews การให้น้ำหนักกับ User Signals และ UX/UI ที่ดี หรือการปรับเนื้อหาให้เป็นภาษาพูดเพื่อรองรับ Voice Search ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องของการมีประโยชน์ และใช้งานง่ายที่สุด

    ดังนั้นการวางแผนการตลาดออนไลน์สำหรับปีหน้าและต่อไปในอนาคต จึงต้องมองภาพที่กว้างกว่าแค่การทำอันดับบน Google Search แค่อย่างเดียวแล้ว แต่การสร้าง Brand Authority ให้แบรนด์น่าเชื่อถือ การกระจายตัวตนของแบรนด์ไปในทุกแพลตฟอร์มที่ลูกค้าอยู่ และการสร้างคอนเทนต์คุณภาพเพื่อให้ได้ Link Value กลับมา ล้วนเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญในการสร้างความสำเร็จและทำให้เว็บไซต์ของคุณได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้นได้แน่นอน

—————————

📌 สำหรับใครที่สนใจ คอร์ส Digital Marketing อบรมการตลาด เพื่อเพิ่มยอดขายผ่านหน้าเว็บไซต์ ยิงแอดครบทุก Platform พร้อมทั้งการวิเคราะห์ Conversion ด้วย data analytics ทั้งรูปแบบคอร์สเรียนออนไลน์, คอร์สเรียนแบบส่วนตัว หรือ In-House Training

.

📞 ติดต่อสอบถามข้อมูลกับ Right Lane Academy ได้ที่ 👇🏻

โทร : +66 (0) 94-616-3651 K.Por (Admin Rightlane)

Line : @rightlane

Facebook : https://www.facebook.com/RightLaneAcademy

ชญานิศ จิตรีปลื้ม (นิก)
ชญานิศ จิตรีปลื้ม (นิก)

ที่ปรึกษาด้าน digital Strategy และ Performance Marketing มามากกว่า 10 ปี อาจารย์พิเศษด้านการตลาด ให้กับมหาวิทยาลัยชั้นนำ อาทิ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
(Digital Marketing Strategy )

ประสบการณ์วางแผนกลยุทธ์ทางด้าน Digital Marketing โดยเฉพาะ Online Platform ยอดนิยม เช่น Facebook ads , Google ads , SEO , Tiktok ,
Line , Youtube , Marketplace Ads มากกว่า 500+ Campaign (Digital Media Tools )

ประสบการณ์ด้าน Consult เทคนิคเชิงลึกสำหรับ Digital Media Tools เพื่อให้ทุกงบการลงทุนโฆษณาคุ้มค่ามากที่สุด อาทิเช่น การเพิ่ม Conversion ให้ธุรกิจ ,
เทคนิค ทำอย่างไรให้ CPA ราคาถูกลง , มีคนทักเยอะ ไม่มีคุณภาพ ปิดการขายไม่ได้ , สินค้าเสี่ยง Policy พร้อมเทคนิคการยิงแอดยังไงให้ไม่โดน Reject

บทความที่เกี่ยวข้อง

นักการตลาดออนไลน์

เปิดสูตรลับนักการตลาดออนไลน์ โพสต์ขายยังไงให้ยอดพุ่ง

Home Table of Contents    สำหรับคนที่ทำการตลาดออนไลน์ในยุคนี้ ผมเชื่อว่าปัญหาคลาสสิกที่หลายๆ คนเจอกันบ่อยที่สุด ก็คงจะเป็นการโพสต์คอนเทนต์ขายของไปแล้วมันเงียบ ไม่มียอดเข้ามาเลยใช่ไหมครับ เราอาจจะรู้สึกว่าโพสต์ไปเท่าไหร่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่พอหันไปเ

Read More »
อบรมการตลาด

6 ทักษะเอาตัวรอดของนักการตลาดออนไลน์ ในยุค AI ครองเมือง

Home Table of Contents ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาผมว่าคนในสายงานการตลาดออนไลน์น่าจะรู้สึกคล้ายๆ กันนะครับ ว่า AI มันเก่งขึ้นทุกวันจริงๆ เผลอแปบเดียวมันก็ช่วยเราวิเคราะห์ข้อมูลที่ซับซ้อน หรือบางทีก็เขียนคอนเทนต์ได้ดีจนน่าตกใจ จนหลายๆ องค์กรเลือกที่จะใช้

Read More »
อบรมการตลาด

เจาะลึก 3 ขั้นตอนสำคัญ อัปสกิลนักการตลาดออนไลน์ให้เป็นมือโปร

Home Table of Contents      เป็นที่รู้กันดีว่าการทำการตลาดออนไลน์ในปัจจุบันนั้นเต็มไปด้วยความท้าทายในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นอัลกอริทึมที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แพลตฟอร์มใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นแทบทุกวัน ไปจนถึงการแข่งขันที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ความรู้จากการอบ

Read More »