เปิดสูตรลับนักการตลาดออนไลน์ โพสต์ขายยังไงให้ยอดพุ่ง
- Home
- Digital Marketing New
- เปิดสูตรลับนักการตลาดออนไลน์ โพสต์ขายยังไงให้ยอดพุ่ง
Table of Contents
สำหรับคนที่ทำการตลาดออนไลน์ในยุคนี้ ผมเชื่อว่าปัญหาคลาสสิกที่หลายๆ คนเจอกันบ่อยที่สุด ก็คงจะเป็นการโพสต์คอนเทนต์ขายของไปแล้วมันเงียบ ไม่มียอดเข้ามาเลยใช่ไหมครับ เราอาจจะรู้สึกว่าโพสต์ไปเท่าไหร่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่พอหันไปเห็นร้านคู่แข่งที่เขาขายดีเอาๆ เราก็ยิ่งเริ่มสงสัยใช่ไหมครับว่ามันเกิดอะไรขึ้น ว่าหรือสินค้าของเรามันจะไม่ดีพอจริงๆ
ผมอยากให้ลองพักความคิดนั้นไว้ก่อนนะครับ เพราะจากประสบการณ์ส่วนตัวที่ผมทำงานด้านนี้มา ผมอยากบอกว่าปัญหาส่วนใหญ่มักไม่ได้อยู่ที่ตัวสินค้าหรอกครับ แต่มันอยู่ที่วิธีการนำเสนอ หรือวิธีที่เราสื่อสารออกไปหาลูกค้าต่างหากที่อาจจะทำให้ไม่เกิดการตัดสินใจซื้อ
วันนี้ผมเลยตั้งใจจะมาแชร์สูตรลับที่นักการตลาดออนไลน์มืออาชีพเขาใช้กันจริงๆ ซึ่งสูตรที่ว่านี้ก็คือการวางโครงสร้างโพสต์ที่ช่วยให้เราปิดการขายได้ง่ายขึ้น เดี๋ยวผมจะมาเล่าให้ฟังเองครับว่าต้องทำยังไงบ้าง
การตลาดออนไลน์ยุคนี้ต้องเล่าเรื่องให้เป็น
เวลาเรานึกถึงคอนเทนต์ขายของส่วนใหญ่เราจะนึกถึงอะไรครับ ก็คงจะหนีไม่พ้นโปรโมชันลด 50%, ซื้อ 1 แถม 1 หรือพวกส่งฟรีใช่ไหมล่ะครับ ซึ่งจริงๆแล้ว โปรโมชันพวกนี้มันก็ดึงดูดคนได้จริงๆ นั่นแหละครับ ผมไม่เถียงเลย แต่ปัญหาที่ผมเจอบ่อยๆ ก็คือโปรโมชันแบบนี้คู่แข่งเขาก็ทำกันครับ ถ้าเราสู้กันที่สงครามราคาอย่างเดียว สุดท้ายเราก็เหนื่อยครับ
ในโลกการตลาดออนไลน์ยุคนี้ ที่คนหนึ่งคนต้องเห็นโฆษณา หรือเห็นโพสต์ต่างๆ ผ่านตาเป็นร้อยเป็นพันต่อวันการตะโกนบอกแค่ว่าสินค้าของเราลดราคามันอาจจะไม่มากพอให้คนสนใจหรอกครับ
ดังนั้น สิ่งที่ผมมองว่าสำคัญกว่า และเป็นสิ่งที่สร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์ของเราได้จริงๆ ก็คือ การเล่าเรื่อง หรือการสื่อสารให้มันตรงใจลูกค้าครับ เราต้องทำให้เขารู้สึกว่าเราเข้าใจความต้องการของเขาจริงๆ ดังนั้นการทำคอนเทนต์ที่ดีในมุมมองของผม จึงไม่ใช่แค่การแปะรูปสินค้าแล้วบอกว่าเรามีอะไรขาย แต่คือการนำเสนออย่างมีชั้นเชิงว่า สิ่งที่เรามีจะเป็นประโยชน์ต่อชีวิตเขาดียังไงต่างหาก และวิธีทำคอนเทนต์ทั้งหมดที่ผมเล่ามานี้ สามารถทำได้ผ่านสูตรสำเร็จ 5 ขั้นตอนที่ผมกำลังจะอธิบายครับ
ถอดรหัส 5 ขั้นตอนคิดคอนเทนต์ เปลี่ยนคนอ่านเป็นลูกค้า
ผมบอกได้เลยว่านี่คือเนื้อหาส่วนที่สำคัญที่สุดของบทความนี้เลยครับ เพราะมันคือโครงสร้างหลัก 5 ขั้นตอนที่ผมพูดถึงในตอนต้น อย่าง HPSPC ครับ หลายคนเห็นตัวอักษรพวกนี้แล้วอาจจะสงสัยว่ามันคืออะไร แต่เดี๋ยวเราจะมาเจาะลึกกันทีละส่วนเลยครับ ว่าองค์ประกอบทั้ง 5 ตัวนี้คืออะไร และเราจะนำไปใช้จริงในโพสต์ของเราได้ยังไงบ้าง
.
H – Hook ตะขอเกี่ยวใจให้ต้องหยุดอ่าน
สำหรับผมนะ นี่คือด่านแรก และด่านที่สำคัญที่สุดเลยล่ะครับ ลองนึกภาพตามดูนะครับ เวลาเราหรือลูกค้าของเรากำลังไถฟีดในโซเชียลผ่านมือถือแบบเร็วๆ เนี่ย เรามีเวลาแค่ 3 วินาทีแรกเท่านั้นครับ ที่จะดึงความสนใจของเขาให้หยุดนิ้วโป้งที่โพสต์ของเราให้ได้ ดังนั้นถ้าประโยคแรกหรือรูปของคอนเทนต์เราไม่น่าสนใจมากพอ ต่อให้เนื้อหาข้างในที่เราเตรียมมาจะดีแค่ไหน หรือโปรโมชั่นจะคุ้มยังไง มันก็ไม่มีความหมายเลยครับ เพราะเขาอาจจะเลื่อนผ่านไปเลยก็ได้ครับ แต่พอพูดถึง Hook ที่ดีแล้ว มันก็มีหลากหลายแบบเลยครับ แต่ผมจะขอยกตัวอย่างที่ผมว่ามันใช้ได้ผลจริงให้ดูสัก 3 แบบนะครับ
.
แบบแรก คือการยิงคำถามให้กระแทกใจ หรือถามให้ตรงกับสิ่งที่เขาอยากได้ เช่นการถามว่า อยากรู้วิธีเพิ่มยอดขาย 300% หลังจบการอบรมการตลาดแค่คอร์สเดียวไหม หรืออยากเข้าใจ คอร์ส Digital Marketing แบบครบวงจร ให้ยิงแอดแม่นเหมือนจับวางไหมครับ แบบนี้มันจะทำให้คนที่อยากได้ผลลัพธ์ดีๆ แบบที่เราถาม สนใจคอนเทนต์โปรโมตคอร์สอบรมการตลาด และคอร์ส Digital Marketing ของเราขึ้นมาทันทีครับ
.
แบบที่สอง ที่ผมก็ชอบใช้ก็คือการพูดแบบท้าทายหรือขัดแย้งกับสิ่งที่เขาคิดครับ อย่างเช่นการขึ้นต้นโพสต์ว่า อย่าเพิ่งลงเรียนคอร์ส Digital Marketing ไหน ถ้าคุณยังไม่รู้ความลับ 3 ข้อนี้ หรือ ข้อมูลจาก Performance Marketing Course ที่คุณเคยเรียนมา อาจจะใช้ไม่ได้ผลแล้วในวันนี้ มันจะกระตุ้นความอยากรู้ของคนได้ดีมากๆ เลยครับ ว่าสิ่งที่คุณต้องการสื่อจริงๆ ใยคอนเทนต์นี้มันคืออะไรกันแน่ ทำไมถึงห้าม
.
แบบที่สาม คือการโชว์ผลลัพธ์ที่เขาอยากได้ไปเลยครับ เช่น วิธีปั้นยอดขาย 7 หลัก จาก Performance Marketing Course หรือ เปลี่ยนจากยิงแอดขาดทุน เป็นกำไร 6 หลัก ด้วยการอบรมการตลาดแค่ครั้งเดียว จะทำให้คนที่กำลังอยากได้ผลลัพธ์แบบนี้อยู่ ก็มีโอกาสสูงที่จะหยุดอ่านทันทีครับ
.
P – Pain ขยี้ปัญหาให้ตรงใจ
หลังจากที่เราใช้ Hook หยุดนิ้วเขาได้สำเร็จแล้ว สเต็ปที่สองที่ต้องทำต่อมาก็คือการขยี้ปัญหานั่นเองครับ โดยขั้นตอนนี้ในมุมมองของผมคือสามารถใช้แทน Hook ได้เหมือนกันนะครับ เพราะมันคือการทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า เฮ้ย นี่มันปัญหาที่ฉันกำลังเจอเลย ทำให้เขารู้สึกว่าเราเป็นพวกเดียวกับเขา และเราเข้าใจเขาจริงๆ ครับ เพราะถ้าเราจี้ถูกจุด รับรองได้เลยว่าเขาจะเปิดใจอ่านต่อทันทีครับ ตรงข้ามกับโพสต์ที่เอาแต่พูดเรื่องดีๆ ของสินค้าตัวเอง โดยที่เขาไม่รู้สึกว่ามันเกี่ยวกับเขาเลย
ผมขอยกตัวอย่างที่ผมเคยนำไปใช้บ่อยๆ นะครับ ตัวอย่างเช่น หากมีคนกำลังมองหาหาคอร์สหรือการอบรมการตลาด เราอาจจะขยี้ปัญหาของคนที่เป็นมือใหม่ว่า อยากทำออนไลน์ แต่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก หรือ เรียนคอร์ส Digital Marketing มาหลายที่ก็ยังจับจุดไม่ได้สักทีก็ได้ครับ หรือจะพูดถึงอีกตัวอย่างสำหรับคนที่มีประสบการณ์มาบ้างแต่ยังไม่สำเร็จ เราอาจจะขยี้ว่าพยายามยิงแอด แต่ยิ่งขาดทุน อยากลงลึกเรื่อง Performance Marketing Course แต่ก็กลัวว่าจะยากเกินไปจนไม่รู้จะทำยังไง พอเราขยี้จนเขารู้สึกว่า เราคือคนที่เข้าใจเขาจริงๆ แล้วขั้นตอนต่อไปก็ค่อยเสนอทางออกให้เขาครับ
S – Solution การเสนอทางออกที่ใช่
หลังจากที่เราขยี้ปัญหาในขั้นตอนที่แล้ว จนผู้อ่านรู้สึกว่าใช่เลย นี่คือปัญหาของฉัน ตอนนี้ในหัวของเขาจะเริ่มมองหาทางแก้แล้วครับ เขาจะเริ่มเปิดใจแล้วว่ามีอะไรมาช่วยเขาได้บ้าง จังหวะนี้แหละครับ คือขั้นตอนที่เราจะต้องนำเสนอสินค้าหรือบริการของเราครับ ซึ่งสำหรับผมแล้ว ผมไม่แนะนำให้โผล่ไปขายของแบบทื่อๆ ครับ เพราะแบบนั้นมันดูยัดเยียด และคนจะปิดใจหนีไปก่อน
.
แต่เราควรจะนำเสนอสินค้าของเราในฐานะทางแก้ หรือเป็นฮีโร่ที่จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาแทนครับ โดยหลักการของมันคือการเชื่อมโยงให้เขารู้สึกให้ได้ว่า เพราะคุณมีปัญหาแบบนั้น สินค้าของเราเลยถูกออกแบบมาเพื่อแก้สิ่งนี้โดยเฉพาะครับ
.
คุณจำปัญหาของตัวอย่างในหัวข้อที่แล้วได้ไหมครับ ที่เราเล่นเรื่อง อยากทำออนไลน์ แต่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก หรือ เรียนคอร์ส Digital Marketing มาหลายที่ก็ยังจับจุดไม่ได้สักที ถ้าคุณต้องการเสนอทางออกให้จากหัวข้อนี้ ก็ควรจะเสนอต่อไปว่า คอร์ส Digital Marketing ฉบับเริ่มต้นนี้ จึงถูกออกแบบมาสำหรับมือใหม่แบบคุณโดยเฉพาะครับ เราจะปูพื้นฐานให้คุณใหม่ตั้งแต่ศูนย์ สอนให้รู้ว่าควรเริ่มจากตรงไหนก่อน ไม่ต้องงมทางเองอีกต่อไป ซึ่งพอคนที่มีปัญหาอย่างที่เราเล่าไปตอนต้น ได้อ่านข้อความนี้ ก็จะรู้สึกเชื่อมั่นว่าเราช่วยเขาได้นั่นเอง
.
หรือปัญหาที่สอง ที่เคยพูดไปว่า ยิงแอดแล้วขาดทุน อยากลงลึก Performance Marketing Course แต่กลัวไม่ตอบโจทย์ เราก็อาจจะเสนอเขาว่า แต่ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปเพราะ Performance Marketing Course ของเรา จะช่วยคุณจบปัญหาได้ดอย่างแน่นอนครับ เพราะผมจะสอนคุณอ่านค่าทุกตัวให้ขาด เพื่อให้คุณยิงแอดได้แม่นยำ และทำกำไรได้จริง ซึ่งจะทำให้คอนเทนต์สร้างความมั่นใจให้คนอ่านได้
P – Proof เห็นผลแบบมีหลักฐาน
ในขั้นตอนที่แล้ว เราได้เสนอทางแก้ปัญหาให้เขาไปแล้วใช่ไหมครับ แต่ในใจลูกค้าย่อมมีความลังเลเป็นธรรมดาครับ เขาจะคิดว่ามันจะดีจริงเหรอ จะช่วยได้จริงเหมือนที่พูดหรือเปล่า ฉันจะโดนหลอกไหม อยู่แน่นอนครับ ซึ่งหน้าที่ของเราในขั้นตอนนี้คือการทำลายความลังเลนั้นด้วยหลักฐาน หรือรีวิว เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้ได้มากที่สุดครับ ทีนี้ หลักฐานพิสูจน์ที่ว่าเนี่ย มันก็มีหลายรูปแบบครับ ผมขอยกตัวอย่างที่นักการตลาดออนไลน์ส่วนใหญ่ใช้ได้ผลดีมาให้ดูนะครับ
แบบแรก ก็คือรีวิวจากผู้ใช้จริงครับ อันนี้ผมว่าทรงพลังที่สุดแล้วครับ เพราะมันคือเสียงจากคนที่เคยใช้สินค้าหรือบริการของเราจริงๆ ตัวอย่างเช่น เสียงยืนยันจากคุณเอ ที่บอกว่าหลังจบการอบรมการตลาดคอร์สนี้ไป สามารถปิดยอดขายได้หกหลักในเดือนแรก หรือ ดูรีวิวจากคุณบีสิครับ ที่แต่ก่อนไม่เคยยิงแอดเป็นเลย พอได้มาลง คอร์ส Digital Marketing ของเรา ตอนนี้กล้าพูดเลยว่าทำกำไรได้จริง
แบบที่สอง ที่ทุกคนอาจจะเห็นบ่อยๆ และสร้างความเชื่อมั่นได้มากที่สุดเลยก็คือการลงภาพ Before After ครับ ตัวอย่างเช่น ภาพเปรียบเทียบว่าก่อนเรียน Performance Marketing Course นี้ ยอดแอดติดลบยังไง และหลังเรียนกราฟพุ่งขึ้นยังไงบ้าง หรือ หรือจะเป็นภาพยอดขายของนักเรียนท่านอื่น ที่โชว์ให้เห็นเลยว่าก่อนเข้าการอบรมการตลาดของเรา ยอดขายนิ่งแค่ไหน และหลังเรียนยอดโตขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ แน่นอนว่าพอเห็นภาพที่ชัดเจนแบบนี้ หลายๆ คนต้องมั่นใจและติดต่อมาขอเรียนบ้างแน่นอนครับ
แบบที่สาม คือ การใช้ตัวเลข หรือสถติที่ชัดเจนมาช่วยยืนยันครับ ถ้าให้ผมอธิบายง่ายๆ นะครับ มันคือการบอกลูกค้าว่าทำไมเขาถึงควรเชื่อเรา หรือทำไมเราถึงเก่งเรื่องนี้จริงๆ มันไม่ใช่แค่รีวิวจากคนอื่น แต่มันมาจากโปรไฟล์ของเราเอง หรือสถิติที่เรามีครับ ผมขอยกตัวอย่างง่ายๆ นะครับ ตัวอย่างเช่น การบอกว่าผู้สอน คอร์ส Digital Marketing ของเราเป็นคนที่ทำเอเจนซี่จริง มีประสบการณ์ในวงการมากว่า 10 ปี แบบนี้มันทำให้ดูน่าเชื่อถือขึ้นเยอะเลยครับ หรือการใช้ตัวเลขที่มันชัดเจน เช่น เราจัดการอบรมการตลาดนี้มาแล้วกว่า 10 ครั้ง และมีนักเรียนสมัครเต็มทุกครั้ง การที่มีสิ่งเหล่านี้มาการันตี มันช่วยตอกย้ำให้ลูกค้ารู้สึกว่า เขาไม่ได้กำลังจะซื้อของจากใครก็ไม่รู้ แต่กำลังซื้อจากผู้เชี่ยวชาญตัวจริงครับ
.
C – Call to Action กระตุ้นให้ตัดสินใจซื้อ
หลังจากที่เราสร้างความมั่นใจด้วยหลักฐานจนแน่นแล้ว ลูกค้าเขาเริ่มคล้อยตาม และพร้อมที่จะตัดสินใจแล้วครับทีนี้ก็มาถึงขั้นตอนสุดท้ายที่สำคัญมากๆ นั่นคือ Call to Action ครับ ถ้าให้ผมอธิบายง่ายๆ นะครับ Call to Action ก็คือการบอกให้ลูกค้ารู้ว่าต้องทำอะไรต่อครับ เพื่อชวน หรือกระตุ้นให้เขาลงมือทำอะไรสักอย่าง ไม่ใช่ปล่อยให้เขาอ่านจบแล้วก็เลื่อนผ่านไป
แล้วทำไมมันถึงสำคัญขนาดนั้นน่ะเหรอครับ ลองนึกภาพตามนะครับว่าเราอุตส่าห์เขียนคอนเทนต์มาให้จับใจเขาได้ขนาดนี้แล้ว ถ้าเราปล่อยให้จังหวะทองนี้หลุดลอยไป โดยไม่บอกเขาให้ชัดเจนว่าต้องทักแชทหรือคลิกติดต่อตรงไหนเขาก็จะงงว่าแล้วต้องทำยังไงต่อครับ และความลังเลเพียงเสี้ยววินาทีนั้น ก็อาจจะทำให้เขาเลื่อนนิ้วหนีไปเลย ที่เราทำมาทั้งหมดตั้งแต่ต้นก็จะสูญเปล่าทันทีครับ นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องมีส่วนนี้ไว้ ปิดจบเสมอครับ และที่สำคัญคือการกระตุ้นให้ลงมือทำ หรือ Call to Action ที่ดี มันก็มีหลายแบบครับ
แบบแรก คือแบบตรงไปตรงมาครับ นั่นคือการบอกเลยว่าต้องทำอะไร ตัวอย่างเช่น สนใจสมัคร คอร์ส Digital Marketing ทักแชทเลยครับ หรือ สอบถามรายละเอียดการอบรมการตลาดเพิ่มเติม คลิกที่ลิงก์นี้ครับ
แบบที่สอง เป็นแบบที่ผมว่าได้ผลดีมากเลยครับ คือการจำกัดเวลา หรือสร้างความเร่งด่วนนั่นเอง ซึ่งการทำแบบนี้จะช่วยเร่งการตัดสินใจของลูกค้าได้ดีครับ ตัวอย่างเช่น Performance Marketing Course นี้ลด 30% เฉพาะ 10 ท่านแรกที่ทักเข้ามาเท่านั้นครับ หรือ ราคานี้ สมัครได้ถึงเที่ยงคืนวันนี้เท่านั้นครับ
แบบที่สาม สำหรับสินค้าหรือบริการที่ลูกค้าอาจจะต้องใช้เวลาตัดสินใจ เราต้องช่วยลดความเสี่ยงให้เขาครับ ทำให้เขารู้สึกว่าทักมาก็ไม่เสียหายอะไร ตัวอย่างเช่น ไม่แน่ใจว่า คอร์ส Digital Marketing นี้เหมาะกับคุณไหม ทักมาปรึกษาผมก่อนได้เลยครบ หรือ รับสิทธิ์ทดลองเรียนบทแรกฟรี ของการอบรมการตลาด ก่อนตัดสินใจสมัครจริงได้ที่ลิงก์นี้เลยครับ
.
| Right Lane แนะนำ !! |
พอเรามีโครงสร้างโพสต์ขาย HPSPC ที่ดีแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่าการหาไอเดียมาเติมในโครงสร้างทุกวันก็เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กันครับ ซึ่งถ้าใครกำลังเจอปัญหาคิดคอนเทนต์ไม่ออก หรือกลัวว่าจะตัน ผมก็ได้รวบรวมสูตรที่ผมใช้จริงไว้ให้แล้วในบทความนี้ครับ 🔗 แจกสูตรคิดคอนเทนต์แบบไม่มีวันหมด ฉบับนักการตลาดออนไลน์ |
บทสรุป
มาถึงตรงนี้ ผมว่าเราน่าจะเห็นภาพตรงกันแล้วนะครับ ว่าการที่ยอดขายจะพุ่งหรือไม่พุ่งในยุคนี้ มันอาจจะไม่ได้วัดกันที่ว่าใครงบยิงแอดเยอะกว่ากันเสมอไป เพราะว่าหัวใจสำคัญที่คนมักจะมองข้าม คือเรื่องของโครงสร้างการสื่อสารอย่าง HPSPC ที่เราพูดกันไปในวันนี้ครับ และที่สำคัญคือ โครงสร้าง HPSPC ไม่ได้จำกัดว่าต้องใช้กับสินค้าอะไรเลยครับ ไม่ว่าธุรกิจของคุณจะเป็นแบบไหน คุณก็สามารถหยิบแก่นของมันไปปรับใช้ได้หมดเลยครับ
พอเห็นว่ามันปรับใช้ได้หลากหลายแบบนี้แล้ว ผมเลยอยากชวนให้คุณลองนำโครงสร้างนี้ไปใช้กับโพสต์ต่อไปของคุณดูนะครับ ลองจัดลำดับความคิดใหม่ตามนี้ดู แล้วผมเชื่อว่าคุณจะได้เห็นมุมมองใหม่ๆ ในการสื่อสารกับลูกค้า ที่ให้ผลลัพธ์แตกต่างไปจากเดิมแน่นอนครับ
| Right Lane แนะนำ !! |
เราคุยเรื่องเทคนิคการเขียนโพสต์ขายกันไปแล้วนะครับ แต่อีกหนึ่งหัวใจสำคัญที่ช่วยให้โพสต์ของเราทรงพลังขึ้นไปอีก คือการเล่าเรื่องครับถ้าใครอยากอัปเกรดโพสต์ขายให้คนอ่านอินตาม และปิดการขายได้แบบไม่ยัดเยียด ผมได้สรุปเทคนิคการทำ Storytelling ไว้ให้แล้วในบทความนี้ครับ 🔗 Storytelling พลังการเล่าเรื่องที่ช่วยเพิ่มยอดขายแบบไม่ต้อง Hard Sell |
—————————
📌 สำหรับใครที่สนใจ คอร์ส Digital Marketing อบรมการตลาด เพื่อเพิ่มยอดขายผ่านหน้าเว็บไซต์ ยิงแอดครบทุก Platform พร้อมทั้งการวิเคราะห์ Conversion ด้วย data analytics ทั้งรูปแบบคอร์สเรียนออนไลน์, คอร์สเรียนแบบส่วนตัว หรือ In-House Training
.
📞 ติดต่อสอบถามข้อมูลกับ Right Lane Academy ได้ที่ 👇🏻
โทร : +66 (0) 94-616-3651 K.Por (Admin Rightlane)
Line : @rightlane
Facebook : https://www.facebook.com/RightLaneAcademy
ชญานิศ จิตรีปลื้ม (นิก)
ที่ปรึกษาด้าน digital Strategy และ Performance Marketing มามากกว่า 10 ปี อาจารย์พิเศษด้านการตลาด ให้กับมหาวิทยาลัยชั้นนำ อาทิ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
(Digital Marketing Strategy )
ประสบการณ์วางแผนกลยุทธ์ทางด้าน Digital Marketing โดยเฉพาะ Online Platform ยอดนิยม เช่น Facebook ads , Google ads , SEO , Tiktok ,
Line , Youtube , Marketplace Ads มากกว่า 500+ Campaign (Digital Media Tools )
ประสบการณ์ด้าน Consult เทคนิคเชิงลึกสำหรับ Digital Media Tools เพื่อให้ทุกงบการลงทุนโฆษณาคุ้มค่ามากที่สุด อาทิเช่น การเพิ่ม Conversion ให้ธุรกิจ ,
เทคนิค ทำอย่างไรให้ CPA ราคาถูกลง , มีคนทักเยอะ ไม่มีคุณภาพ ปิดการขายไม่ได้ , สินค้าเสี่ยง Policy พร้อมเทคนิคการยิงแอดยังไงให้ไม่โดน Reject
บทความที่เกี่ยวข้อง

เปิดสูตรลับนักการตลาดออนไลน์ โพสต์ขายยังไงให้ยอดพุ่ง
Home Table of Contents สำหรับคนที่ทำการตลาดออนไลน์ในยุคนี้ ผมเชื่อว่าปัญหาคลาสสิกที่หลายๆ คนเจอกันบ่อยที่สุด ก็คงจะเป็นการโพสต์คอนเทนต์ขายของไปแล้วมันเงียบ ไม่มียอดเข้ามาเลยใช่ไหมครับ เราอาจจะรู้สึกว่าโพสต์ไปเท่าไหร่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่พอหันไปเ

6 ทักษะเอาตัวรอดของนักการตลาดออนไลน์ ในยุค AI ครองเมือง
Home Table of Contents ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาผมว่าคนในสายงานการตลาดออนไลน์น่าจะรู้สึกคล้ายๆ กันนะครับ ว่า AI มันเก่งขึ้นทุกวันจริงๆ เผลอแปบเดียวมันก็ช่วยเราวิเคราะห์ข้อมูลที่ซับซ้อน หรือบางทีก็เขียนคอนเทนต์ได้ดีจนน่าตกใจ จนหลายๆ องค์กรเลือกที่จะใช้

เจาะลึก 3 ขั้นตอนสำคัญ อัปสกิลนักการตลาดออนไลน์ให้เป็นมือโปร
Home Table of Contents เป็นที่รู้กันดีว่าการทำการตลาดออนไลน์ในปัจจุบันนั้นเต็มไปด้วยความท้าทายในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นอัลกอริทึมที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แพลตฟอร์มใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นแทบทุกวัน ไปจนถึงการแข่งขันที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ความรู้จากการอบ