6 ทักษะเอาตัวรอดของนักการตลาดออนไลน์ ในยุค AI ครองเมือง

1. ทักษะการตั้งคำถามที่เฉียบคม

    ในยุคนี้ถ้าเราพูดถึงการหาข้อมูลหรือคำตอบที่รวดเร็วเกี่ยวกับการตลาด AI อาจจะเป็นเครื่องมือที่นักการตลาดออนไลน์หลายคนคิดถึงเป็นอันดับแรกใช่ไหมครับ แต่จากประสบการณ์ที่ผมทำงานในสายนี้มา ผมเชื่อว่าไอเดียการตลาดที่สามารถสร้างความสำเร็จได้จริงๆ ไม่ได้มาจากคำตอบสำเร็จรูปจาก AI หรอกครับ ของแบบนี้มันมาจากคำถามที่เราในฐานะมนุษย์เป็นคนคิดขึ้นมาต่างหาก

    เพราะสิ่งสำคัญของการเป็นนักการตลาดออนไลน์มันไม่ได้อยู่ที่การอ่านผลลัพธ์ที่ AI สรุปมาให้สักหน่อย แต่ก่อนหน้าที่จะมี AI เราต่างก็เป็นฝ่ายที่วิเคราะห์ และตั้งคำถามกับพฤติกรรมที่อยู่เบื้องหลังผลลัพธ์นั้นอยู่แล้ว พูดง่ายๆ ก็คือแม้ AI จะทำหน้าที่รายงานว่าแคมเปญนี้มี Conversion Rate ต่ำ ยังไง แต่งานของนักการตลาดออนไลน์จริงๆ มันคือการขุดต่อด้วยคำถามเชิงพฤติกรรมว่าแล้วทำไมคนที่คลิกเข้ามาดู ถึงไม่ยอมลงทะเบียนข้อมูลต่อล่ะ คำถามแบบนี้แหละครับ ที่มันจะพาเราไปเจอต้นตอของปัญหาจริงๆ และเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างกลยุทธ์ใหม่ๆ

ตัวอย่างเช่น

    ลูกค้ารายหนึ่งโปรโมท คอร์ส Digital Marketing แล้วได้ผลตอบรับไม่ดีเท่าที่ควร พอเราลองตั้งคำถามว่าทำไมคนที่สนใจการตลาดเบื้องต้น ถึงไม่คลิกเข้ามาดูรายละเอียด ก็ทำให้เจอ Insight ว่ากลุ่มเป้าหมายจริงๆ คือคนที่มองหาความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง จึงเปลี่ยนไปทำแคมเปญอบรมการตลาด ผ่าน Performance Marketing Course แทน ผลลัพธ์ที่ได้คือ Conversion Rate มีเปอร์เซนต์สูงขึ้นมาทันทีครับ 

หรืออีกเคสที่เจอบ่อยมากคือ Brief ที่ขอแค่ยอด Lead เยอะๆ ถ้าเป็น AI มันก็คงทำตามคำสั่งนั้นในทันที แต่เราในฐานะนักการตลาดออนไลน์ ก็ต้องตั้งคำถามให้แน่ใจว่า ลูกค้าต้องการแค่จำนวน หรืออยากได้คุณภาพด้วยกันแน่ และเมื่อเราเลือกที่จะเปลี่ยนจากการยิงแอดกว้างๆ มาโฟกัสกลุ่มคนที่เคยกดดูหน้า Performance Marketing Course และให้ข้อมูลเชิงลึกก่อนชวนมาอบรมการตลาดซึ่งช่วยคัดกรอง Lead ที่มีคุณภาพได้ดีกว่าเดิมเยอะเลยครับ

.

2.ทักษะการเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้า

    ถ้าทักษะแรกคือการตั้งคำถามให้ถูกจุด ทักษะที่สองก็คือการหาคำตอบในสิ่งที่ AI ไม่เข้าใจครับ นั่นก็คือ พฤติกรรมของลูกค้านั่นเอง เพราะถึงแม้ว่า AI จะเก่งมากในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพฤติกรรมที่บอกว่าใครทำอะไรที่ไหนอย่างไร และเมื่อไหร่ได้ แต่มันก็ไม่สามารถตอบคำถามที่สำคัญที่สุดอย่างทำไมพวกเขาถึงทำแบบนั้นได้อยู่ดี ดังนั้นในมุมของผม ผมมองว่าความเข้าใจในมนุษย์ ก็ยังเป็นสิ่งที่ทำให้นักการตลาดออนไลน์ ได้เปรียบกว่า AI อยู่ดีครับ

ตัวอย่างเช่น

    สมมติว่ามีบริษัทหนึ่งกำลังโปรโมทคอร์สเรียนเฉพาะทาง โดยตัว AI อาจจะวิเคราะห์ข้อมูลออกมาแล้วบอกเราว่า คนที่เข้ามาดูหน้า Performance Marketing Course ส่วนใหญ่ใช้เวลาบนเว็บนานมาก อ่านทุกรายละเอียด แต่กลับมีอัตราการลงทะเบียนที่ต่ำมาก ต่างกับ คอร์ส Digital Marketing ที่มีคนลงทะเบียนเยอะกว่า ซึ่งถ้ามองแค่ Data เราอาจจะสรุปผิดๆ ว่าราคาสูงเกินไป หรือข้อมูลไม่น่าสนใจพอรึป่าว

    แต่พอทีมงานได้ลองลงไปทำการสำรวจข้อมูลเชิงลึก ผ่านการพูดคุย สัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่าง จึงได้พบว่า Pain Point ที่แท้จริงไม่ใช่ราคาแต่เป็นความกลัวว่าจะเรียนไม่ไหวต่างหากครับ แปลว่าพวกเขามีความสนใจที่จะเรียนมาก แต่เมื่ออ่านรายละเอียดแล้วกลับรู้สึกว่ามันยากเกินไปสำหรับตัวเอง ไม่มั่นใจว่าพื้นฐานที่มีจะพอหรือเปล่า

    ดังนั้นเมื่อทีมได้เข้าใจความรู้สึกนี้ แล้วปรับกลยุทธ์การสื่อสารใหม่หมด ด้วยการสร้างคอนเทนต์ประเภทเช็กลิสต์คุณพร้อมสำหรับคอร์สนี้หรือยัง? หรือจัดอบรมการตลาดแบบออนไลน์ฟรีในหัวข้อพื้นฐานที่ต้องรู้ก่อนลุยด้าน Performance ก็จะทำให้ช่วยลดกำแพงความกลัวลงและทำให้คนสนใจลงทะเบียนมากขึ้น 

    จะเห็นว่าการเข้าใจความรู้สึกเหล่านี้ทำให้เราไม่ได้แค่ขายคอร์สแต่เรากำลังสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าด้วย ซึ่งการโปรโมตแบบนี้ก็จะช่วยสร้าง Brand Loyalty ที่แข็งแกร่งกว่าการยิงแอดด้วยโปรโมชั่นเพียงอย่างเดียวด้วยครับ

.

3.ทักษะความคิดสร้างสรรค์

    เวลาคนเราพูดถึงความคิดสร้างสรรค์ในการตลาด คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงการทำโฆษณาเจ๋งๆ หรือคอนเทนต์ไวรัลกันใช่ไหมครับ ซึ่งก็เป็นที่รู้กันดีว่าในปัจจุบัน AI ก็เริ่มทำสิ่งเหล่านี้ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกัน แต่ในมุมของผม ผมมองว่าความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์มันมีมิติที่ลึกซึ้งกว่านั้นมากครับ เพราะมันเกิดจากการที่เราเข้าใจมุกตลกที่คนในสังคมกำลังเล่นกันได้ดีกว่า เข้าใจอินไซต์เล็กๆ น้อยๆ ที่ซ่อนอยู่ในวัฒนธรรมของคนไทย หรือจับกระแสบางอย่างที่กำลังก่อตัวขึ้นในสังคมได้ดีกว่า AI อยู่ดีครับ ดังนั้น ทักษะความคิดนอกกรอบ จึงเป็นอีกอย่างหนึ่งที่นักการตลาดออนไลน์จำเป็นต้องมีครับ

ตัวอย่างเช่น

    ถ้าผมให้ AI คิดแคมเปญโปรโมท Performance Marketing Course ขึ้นมาสักแคมเปญ ตัว AI มันอาจจะสร้างคอนเทนต์ออกมาเป็นภาพกราฟิกสวยๆ พร้อมแคปชั่นที่สื่อว่าเพิ่มยอดขายของคุณด้วยการตลาดวัดผลได้แล้วตอนนี้! ซึ่งก็ไม่ได้ผิดนะครับ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันธรรมดาไปหน่อยใช่ไหมล่ะครับ

    เพราะความคิดสร้างสรรค์ของนักการตลาดออนไลน์ สามารถสร้างสรรค์แคมเปญที่ดีกว่านั้นได้ อาจจะเป็นการหยิบเอา Meme ที่กำลังเป็นกระแส Real-Time มาดัดแปลงต่อยอดเป็นคอนเซ็ปต์ของแคมเปญ และสร้างคอนเทนต์ที่เอา Meme นั้นมาเชื่อมโยงกับเนื้อหาของ Performance Marketing Course เช่น ทำภาพล้อเลียนเพื่ออธิบายเรื่องยากๆ ให้เข้าใจง่าย แล้วปิดท้ายด้วยการโปรโมทอบรมการตลาดด้วยภาษาที่สนุกเหมาะกับ Gen Z ซึ่งแน่นอนว่าคนที่เห็นแคมเปญนั้นสร้างการจดจำ และมี Engagement สูงกว่าแคมเปญที่พูดถึงแต่คุณสมบัติของคอร์สแบบตรงๆ แน่นอนครับ

.

4.ทักษะการวางกลยุทธ์ 

    สำหรับผมแล้ว ทักษะการวางกลยุทธ์คือความสามารถในการมองเห็น และเชื่อมโยงทุกส่วนของธุรกิจให้ทำงานไปในทิศทางเดียวกันได้ครับ ซึ่งมันเป็นสิ่งสำคัญที่นักการตลาดทุกคนควรมีอยู่แล้ว และแน่นอนว่าสิ่งนี้นี่แหละ ที่ทำให้เราแตกต่างจาก AI อย่างชัดเจนครับ เพราะถึง AI ในปัจจุบันจะเก่งขึ้นมาก แต่นักการตลาดอย่างเราๆ ที่มีทักษะการวางกลยุทธ์ ก็จำเป็นต้องมองเห็นภาพที่ใหญ่ และซับซ้อนกว่ามันหนึ่งก้าวเสมอครับ

    เพราะเวลาที่เราทำงาน เราไม่ได้มองแค่ว่าแคมเปญโฆษณาต้องได้ผลดีที่สุดเท่านั้นไม่ใช่หรอครับ แต่เรามักมองไปถึงว่าแคมเปญนั้นจะส่งผลยอดขายอย่างไร เข้ากันกับกิจกรรม PR ที่กำลังจะจัดหรือไม่ และสนับสนุนภาพลักษณ์ของแบรนด์ตามที่ตั้งใจไว้หรือเปล่าด้วยนั่นเอง

ตัวอย่างเช่น

    หากมีบริษัทหนึ่งต้องการเปิดตัว คอร์ส Digital Marketing สำหรับผู้ประกอบการมือใหม่ ส่งที่ AI ทำได้อาจจะเป็นการช่วยเราหา Target Audience ที่ดีที่สุดบน Facebook และ Optimize โฆษณาให้ได้ราคาต่อผลลัพธ์ที่ต่ำที่สุดได้

    แต่ในมุมของนักกลยุทธ์ที่เป็นคนอย่างเรา แผนที่ผมจะวางอาจจะกว้างกว่านั้นมากครับ ผมอาจจะวางแผนให้มีการจัดอบรมการตลาดฟรีร่วมกับธนาคารเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ทำคอนเทนต์ซีรีส์ร่วมกับ Influencer สายธุรกิจเพื่อสร้างการรับรู้ และในขณะเดียวกันก็ปรับปรุงหน้าเว็บไซต์เพื่อรองรับคนที่เข้ามาจากหลายช่องทางมากขึ้นไปด้วย

    จะเห็นว่านี่คือการวางแผนที่ทำงานเชื่อมกันกับหลายๆ กลยุทธ์ ไม่ใช่แค่การ Optimize โฆษณาเพียงอย่างเดียว ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จากการวางแผนแบบนี้ จะช่วยให้การเปิดตัว Performance Marketing Course ในเฟสถัดไปแข็งแรงแ ละมั่นคงขึ้นในระยะยาวครับ

    ดังนั้นในมุมมองของผม คุณค่าของนักกลยุทธ์จึงไม่ใช่การทำงานแข่งกับ AI ครับ แต่คือความสามารถในการวางแผนนำกิจกรรมการตลาดหลายๆ อย่าง มาทำงานร่วมกันเพื่อสนับสนุนเป้าหมายใหญ่ของธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือเรียกง่ายๆ ว่าการวางแผนเพื่อใช้ AI ให้ดีที่สุดก็ได้เหมือนกันครับ

.

5.ทักษะการสื่อสาร และโน้มน้าวจิตใจ 

    ผมว่าทักษะนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุดเลยล่ะครับ เพราะในโลกความจริงของคนทำงานอย่างเราๆ การมีไอเดียดีๆ อย่างเดียวมันไม่พอหรอกครับ เพราะไอเดียจะดีแค่ไหนก็เป็นแค่กระดาษ หรือความคิดของเราเท่านั้น ถ้าเราไม่สามารถทำให้ลูกค้าโอเค ทำให้ทีมเข้าใจ หรือทำให้พาร์ทเนอร์ยอมร่วมมือกับเราได้

    และ ถึงแม้ว่า AI มันช่วยเราเขียนอีเมลสวยๆ ขึ้นมาได้ แต่สุดท้ายแล้วมันก็ไม่สามารถอ่านใจคนได้อยู่ดีใช่ไหมล่ะครับ มันไม่รู้หรอกว่าลูกค้าที่คุยกับเราทางโทรศัพท์เขากำลังลังเลเรื่องไหน ไม่สามารถอธิบายให้เข้าใจถึงแนวคิดของทีมกราฟิก และที่สำคัญเลยคือ มันไม่สามารถต่อรองเรื่องต่างๆ กับพาร์ทเนอร์ได้เลย

ตัวอย่างเช่น

    ผมเคยไปออกบูธในงานสัมมนาใหญ่เพื่อแนะนำคอร์ส Digital Marketing อยู่ครั้งหนึ่งครับ มีคนที่สนใจคนหนึ่งเดินเข้ามาแต่ก็ดูลังเลใจมาก เพราะเขาบอกว่าอยากเก่งเรื่องการตลาดออนไลน์ แต่ก็กลัวว่าจะเรียนไม่ไหวเพราะไม่ใช่สายที่ตัวเองเคยเรียนมา ผมเลยเลือกที่จะฟังปัญหาของเขา แล้วค่อยๆ เล่าให้ฟังว่ามีนักเรียนหลายคนที่เริ่มต้นจากศูนย์เหมือนกันกับเขา และตอนนี้ประสบความสำเร็จยังไงบ้างหลังผ่านการอบรมการตลาดคอร์สนี้ไป และการค่อยๆ แนะนำจากเรื่องพื้นฐาน โดยไม่ลงลึกไปถึง Performance Marketing Course ที่เป็นคอร์สขั้นสูงทันทีนี่แหละ คือเหตุผลที่ทำให้คนที่สนใจคอร์ส Digital Marketing คนนั้นตัดสินใจลงทะเบียนเรียนเพราะเขารู้สึกว่าเราเข้าใจ และจริงใจกับเขาจริงๆ ครับ

.

6.ทักษะการปรับตัว และพร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่

    มาถึงทักษะสุดท้ายกันแล้วนะครับ สำหรับผม ผมถือว่าทักษะข้อนี้มีความสำคัญมากที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะว่า 5 ทักษะแรกที่ผมเล่ามาตั้งแต่แรก ไม่ว่าจะเป็นการตั้งคำถาม การเข้าใจคน หรือการวางกลยุทธ์ ล้วนเป็นสิ่งที่สามารถเรียนรู้ให้เก่งขึ้นได้ทั้งหมดครับ

    แต่ประเด็นก็คือ ในโลกการตลาดที่เปลี่ยนแปลงเร็วมากอย่างทุกวันนี้ ความรู้หรือทักษะที่เราเรียนมา อีกไม่นานมันก็อาจจะเก่าหรือใช้ไม่ได้ผลไปเลยก็ได้ครับ ดังนั้นสิ่งที่สำคัญกว่าความรู้ที่มีอยู่ติดตัว ก็คือทัศนคติที่พร้อมจะเรียนรู้สิ่งใหม่อยู่เสมอนั่นเองครับ

ตัวอย่างเช่น

    นักการตลาดสองคนที่ได้รับโจทย์ให้วางแผนคอนเทนต์สำหรับคอร์ส Digital Marketing เหมือนกัน แต่คนแรกที่ยังยึดติดกับวิธีทำงานแบบเดิมๆ ที่อาจจะใช้เวลาทั้งสัปดาห์ไปกับการค้นหา Keyword ด้วยตัวเอง และวิเคราะห์คู่แข่งแบบแมนนวล ในขณะที่คนที่สองซึ่งเปิดรับเครื่องมือใหม่ๆ จะใช้เวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงสั่งให้ AI ช่วยหาไอเดีย และร่างโครงสร้างบทความออกมา ส่วนเวลาที่เหลืออีกหลายวัน เขาก็สามารถเอาไปศึกษาข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติม ไปพูดคุยกับลูกค้าเพื่อหา Insight หรือแม้กระทั่งเข้าอบรมการตลาดในหัวข้อใหม่ๆ ที่เขายังไม่เคยรู้มาก่อนเพื่อเอามาใช้วางแผนได้ด้วย ซึ่งแน่นอนว่าในระยะยาวนักการตลาดคนที่สองจะพัฒนาตัวเองไปได้ไกล และเร็วกว่าคนแรกแน่นอนครับ