เจาะลึก 3 ขั้นตอนสำคัญ อัปสกิลนักการตลาดออนไลน์ให้เป็นมือโปร
- Home
- Digital Marketing New
- เจาะลึก 3 ขั้นตอนสำคัญ อัปสกิลนักการตลาดออนไลน์ให้เป็นมือโปร
Table of Contents
เป็นที่รู้กันดีว่าการทำการตลาดออนไลน์ในปัจจุบันนั้นเต็มไปด้วยความท้าทายในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นอัลกอริทึมที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แพลตฟอร์มใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นแทบทุกวัน ไปจนถึงการแข่งขันที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ความรู้จากการอบรมการตลาดทั่วไปอาจตามไม่ทัน ทำให้มีนักการตลาดจำนวนมากที่ต้องเหนื่อยกับการเปลี่ยนแปลงนี้ จนใช้งบประมาณกับเวลาไปโดยไม่เกิดผลลัพธ์ที่คุ้มค่า
ในบทความนี้เราจึงรวบรวม 3 สาระสำคัญที่นักการตลาดออนไลน์จำเป็นต้องโฟกัสในยุคนี้ ซึ่งเป็นแก่นความรู้เดียวกันกับที่อยู่ในคอร์ส Digital Marketing หรือ Performance Marketing Course ต่างๆ โดยมีทั้งทักษะที่ต้องสร้าง และเรื่องที่ต้องปรับตัวเพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
1. วางรากฐานการตลาดออนไลน์ให้ถูกจุด
ท่ามกลางเทคนิค และกลยุทธ์มากมายที่หลายๆ คนเอาออกมาแชร์กัน จุดเริ่มต้นที่แข็งแรงที่สุดของการตลาดออนไลน์ที่จำเป็นต้องมีเป็นอย่างแรก คือการสร้างบ้านของตัวเองให้แข็งแรงเสียก่อน ซึ่งบ้านในที่นี้ก็คือ Owned Media ทั้งหมดที่เราเป็นเจ้าของ และสามารถบริหารจัดการได้โดยตรง ตั้งแต่เว็บไซต์ของแบรนด์ คอนเทนต์ต่างๆ ไปจนถึงแอคเคาท์ในแต่ละแพลตฟอร์ม เพื่อให้แน่ใจว่านี่คือพื้นที่ที่เราสามารถควบคุมทุกอย่างได้ แม้ว่าอัลกอริทึมจะเปลี่ยนแปลงไปมา
แน่นอนว่าเมื่อมีบ้านที่แข็งแรงแล้ว สิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไปก็คือการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน เพราะการมีเป้าหมายที่จับต้องได้จะช่วยให้การตลาดที่เราทำวัดผลได้จริง ดังนั้นการให้ความสำคัญกับสองสิ่งนี้ก่อนเป็นอันดับแรก จึงเปรียบเสมือนการวางเสาหลักของบ้านให้มั่นคง ซึ่งเป็นรากฐานที่ขาดไม่ได้สำหรับความสำเร็จในระยะยาว
1.1 โฟกัสที่ Conversion
เป็นการปรับมุมมองว่าเป้าหมายสูงสุดของการตลาดไม่ใช่แค่การทำให้คนรู้จัก หรือการมีส่วนร่วมอย่างยอดไลค์ ยอดแชร์เพียงอย่างเดียว ถึงแม้ตัวเลขเหล่านี้จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้เห็นภาพรวม แต่ก็ไม่ได้การันตีว่าจะส่งผลต่อยอดขายหรือการเติบโตของธุรกิจเสมอไป ดังนั้นนักการตลาดจึงต้องให้ความสำคัญกับการวัดผลที่จับต้องได้ และส่งผลต่อธุรกิจโดยตรง เช่น การนับจำนวนลูกค้าใหม่ (Leads) ที่ได้มา ยอดขายที่เกิดขึ้นจริง หรือจำนวนการลงทะเบียนเพื่อรับข่าวสาร
ซึ่งนี่คือหลักการพื้นฐานที่สำคัญที่สุดตามแนวทางของ Performance Marketing Course ที่เน้นผลลัพธ์เป็นหลัก การเริ่มต้นด้วยการกำหนด Conversion ที่ชัดเจน จะทำให้ทุกกิจกรรมที่ทำหลังจากนี้สามารถวัดความสำเร็จได้อย่างชัดเจน
ตัวอย่างเช่น
ถ้าคุณต้องการโปรโมต คอร์ส Digital Marketing ของตัวเอง แทนที่จะทำแคมเปญกว้างๆ อย่างการยิงโฆษณาเพื่อบอกว่าคอร์สเราดีที่สุดแล้ววัดผลจากยอดไลค์ หรือยอดแชร์ การเลือกสร้าง Lead Magnet ที่แก้ปัญหาให้กลุ่มเป้าหมายได้ทันที เช่น การแจกคู่มือแพลนคอนเทนต์ปี 2026 ฟรี โดยมีเงื่อนไขคือต้องลงทะเบียนด้วยอีเมลเพื่อดาวน์โหลด
วิธีการนี้จะทำให้คุณได้ Conversion ที่เป็นกลุ่มที่สนใจการทำคอนเทนต์มาอยู่ในมือ และสามารถส่งอีเมลให้ความรู้เพิ่มเติมและค่อยๆ นำเสนอคอร์สเรียนเป็นลำดับถัดไปได้ ซึ่งมีโอกาสเปลี่ยนเป็นผู้เรียนจริงได้สูงกว่าการทำโฆษณาหาคนที่ไม่รู้จักโดยตรง
1.2 ให้ความสำคัญกับ Website
เพราะเว็บไซต์ถือเป็นศูนย์กลางที่สำคัญที่สุดของ Owned Media ทั้งหมด และเป็นช่องทางออนไลน์ที่แบรนด์สามารถควบคุมได้ 100% ตั้งแต่การออกแบบหน้าตา การนำเสนอข้อมูล ไปจนถึงการกำหนดประสบการณ์ของผู้ใช้งานทั้งหมด
ความพิเศษของเว็บไซต์จึงเป็นการไม่ต้องขึ้นอยู่กับการปรับเปลี่ยนอัลกอริทึมของแพลตฟอร์มอื่นๆ อย่าง Tiktok หรือ Facebook จึงทำให้มั่นใจได้ว่าช่องทางการสื่อสารหลักของแบรนด์จะเข้าถึงได้เสมอ นอกจากนั้นเว็บไซต์ยังเป็นแหล่งเก็บข้อมูลลูกค้าที่มีประสิทธิภาพที่สุด ทำให้เราสามารถเอาข้อมูลเชิงลึกไปวิเคราะห์เพื่อทำความเข้าใจลูกค้า และนำไปทำเป็น Personalization ในอนาคตได้
ตัวอย่างเช่น
บริการอบรมการตลาดออนไลน์ อาจสร้างหน้า Landing Page พิเศษสำหรับให้ผู้ที่สนใจทดลองเรียนบทเรียนแรกได้ฟรี ซึ่งบนหน้าเว็บนี้ แบรนด์สามารถออกแบบตั้งแต่การใส่คำรับรองจากผู้เรียนคนก่อนๆ ไปจนถึงการเก็บข้อมูลเชิงลึกว่าคนที่เข้ามาเรียนสนใจเนื้อหาส่วนไหนเป็นพิเศษ หลังจากนั้น แทนที่จะส่งอีเมลโปรโมชันแบบเดียวกันให้ทุกคน ระบบอาจส่งอีเมลอัตโนมัติไปหาคนที่สนใจเรื่อง SEO โดยเฉพาะ พร้อมแนบบทความพิเศษ และเสนอส่วนลดเพิ่มเติมสำหรับคอร์สนั้น จะทำให้เพิ่มโอกาสในการซื้อคอร์สได้มากกว่าเดิม
1.3 ลงทุนกับ Crafted Content
ในยุคที่คอนเทนต์จำนวนมหาศาลสามารถถูกสร้างขึ้นได้ในไม่กี่นาทีด้วย AI การแข่งขันเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้อ่านจึงสูงขึ้นกว่าที่เคย เพราะคอนเทนต์ที่ดูคล้ายกันไปหมด ก็จะทำคนสนใจน้อยลงตามไปด้วย ดังนั้นการสร้างความแตกต่างจึงถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนักการตลาดออนไลน์ในยุคนี้
Crafted Content หรือคอนเทนต์ที่ถูกสร้างสรรค์อย่างตั้งใจจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากขึ้น เพราะการนำเสนอเรื่องราวผ่านมุมมองของแบรนด์ในแบบที่ไม่เหมือนใคร และการใช้ข้อมูลเชิงลึก จะทำให้ผู้อ่านสัมผัสได้ถึงความตั้งใจ และได้รับประโยชน์จากคอนเทนต์นั้น จนรู้สึกไว้วางใจต่อแบรนด์ และเมื่อแบรนด์มีความน่าเชื่อถือแล้ว การตัดสินใจซื้อก็จะสูงขึ้นไปด้วย
ตัวอย่างเช่น
ธุรกิจที่เปิดอบรมการตลาดแทนที่จะสร้างคอนเทนต์ทั่วไปอย่าง “ทำไมการตลาดดิจิทัลถึงสำคัญ” แบรนด์อาจใช้ข้อมูลเชิงลึกที่ว่ากลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่มีความกังวลเรื่องเส้นทางอาชีพ และรายได้ในสายงานนี้ด้วยการทำคอนเทนต์อย่างคู่มือเส้นทางอาชีพและฐานเงินเดือนนักการตลาดออนไลน์ปี 2026 ที่รวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์ HR และศิษย์เก่ามาจริงๆ พร้อมทำเป็น Infographic ที่เข้าใจง่าย
ซึ่งการสร้างคอนเทนต์ที่ให้คุณค่า และแก้ปัญหาความกังวลให้ผู้อ่านได้อย่างตรงจุดแบบนี้ จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้ดูเป็นผู้เชี่ยวชาญมากขึ้น ทำให้คนที่สนใจอยากจะพัฒนาอาชีพด้านนี้ เลือกที่จะลงเรียนอบรมการตลาด คอร์ส Digital Marketing ด้วยในที่สุด
| Right Lane แนะนำ !! |
สำหรับใครที่กำลังมองหาไอเดียหรือสูตรสำหรับคิด Crafted Content ที่มีคุณภาพและไม่ซ้ำใคร สามารถอ่านเทคนิคเพิ่มเติมได้จากบทความ |
2. ใช้ social และ Influencer ให้เป็น
หลังจากวางรากฐานของตัวเองให้แข็งแกร่งและมีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว สเต็ปต่อไปคือการขยายการเติบโตออกไปให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น เพราะในยุคที่การแข่งขันสูงการทำการตลาดออนไลน์จากช่องทางของตัวเองเพียงอย่างเดียวอาจเติบโตได้ไม่มากเท่าไหร่ ดังนั้นการมองหาโอกาสจากภายนอกจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นเหมือนกัน
ซึ่งหัวใจสำคัญของสเต็ปนี้คือการเปลี่ยนมุมมองจากการพยายามสร้างทุกอย่างด้วยตัวเอง มาเป็นการใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีอยู่แล้ว เช่น การนำคอนเทนต์ไปลงในแพลตฟอร์มใหม่ๆ การทำงานร่วมกับ Creators ไปจนถึงการจับมือกับแบรนด์อื่น เพื่อใช้ฐานผู้ติดตาม และความน่าเชื่อถือของคนนั้นๆ มาช่วยเร่งการเติบโตให้กับแบรนด์ ซึ่งจะสร้างผลลัพธ์ให้แบรนด์เป็นที่รู้จักได้รวดเร็ว และกว้างขวางกว่าการเริ่มต้นจากศูนย์ด้วยตัวเอง
2.1 ใช้ Social Media ให้หลากหลาย
เพราะการฝากอนาคตของแบรนด์ไว้กับโซเชียลมีเดียเดิมๆ ถือเป็นเรื่องที่เสี่ยงมาก ยิ่งวันใดวันหนึ่งแพลตฟอร์มเหล่านั้นมีการปรับเปลี่ยนอัลกอริทึมครั้งใหญ่ หรือเสื่อมความนิยมลง ก็อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจได้โดยตรง ดังนั้นการกระจายการมองเห็นไปสู่แพลตฟอร์มอื่นๆ จึงเป็นกลยุทธ์ที่จำเป็นมาก
โดยเฉพาะแพลตฟอร์มที่มีกลุ่มเป้าหมายเฉพาะทาง เช่น Lemon8 ที่เน้นเรื่องไลฟ์สไตล์และความสวยความงาม LinkedIn สำหรับกลุ่มคนทำงาน และธุรกิจ B2B หรือ X (Twitter) ที่โดดเด่นเรื่องการพูดคุยแบบเรียลไทม์ แพลตฟอร์มเหล่านี้มักจะยังมีการแข่งขันไม่สูงเท่าแพลตฟอร์มหลัก ทำให้แบรนด์มีโอกาสสร้างตัวตน และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายกว่า ที่สำคัญคือลักษณะของแพลตฟอร์มพวกนี้ยังเหมาะกับการสร้างคอมมิวนิตี้อีกด้วย การเลือกใช้แพลตฟอร์มให้เหมาะสมกับแบรนด์ และกลุ่มเป้าหมายจึงเป็นทักษะสำคัญที่มักจะถูกเน้นย้ำอยู่เสมอใน คอร์ส Digital Marketing
ตัวอย่างเช่น
มีบริษัทการตลาดเปิดสอน Performance Marketing Course ซึ่งเป็นหลักสูตรเฉพาะทางสำหรับนักการตลาดออนไลน์ แทนที่ทางบริษัทจะทุ่มงบประมาณโปรโมตทั้งหมดไปกับแพลตฟอร์มใหญ่อย่างเดียว อาจเปลี่ยนมาเลือกใช้ LinkedIn เป็นช่องทางหลัก โดยการเขียนบทความเชิงลึกเกี่ยวกับการวัดผลแคมเปญ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และเข้าถึงกลุ่มคนทำงานในสายการตลาดโดยตรง การทำแบบนี้ก็จะช่วยให้เข้าถึงคนที่สนใจเรียนอย่างจริงจังได้แม่นยำกว่า และลดการเสียเวลาไปกับการแข่งขันกับตลาดที่กว้างเกินไปด้วย
2.2 ทำงานร่วมกับ Creator หรือ Influencer
เพราะผู้บริโภคในยุคนี้มีความเข้าใจเกี่ยวกับการโฆษณามากขึ้น แต่ละคนจึงมองออกได้ง่ายว่าคอนเทนต์ไหนคือการโฆษณาที่ไม่จริงใจ ทำให้วิธีการโฆษณาแบบเดิมๆ ที่แบรนด์เพียงแค่จ่ายเงินให้ Creator หรือ Influencer พูดโปรโมตสินค้าเริ่มใช้ไม่ได้ผล
การร่วมงานที่มีประสิทธิภาพจึงไม่ใช่การยื่นสคริปต์ให้พูดตาม แต่เป็นการเปิดโอกาสให้ Creator ได้สร้างสรรค์คอนเทนต์ในสไตล์ของตัวเอง เพื่อให้การนำเสนอสินค้าดูเป็นธรรมชาติ และน่าเชื่อถือ นอกจากนี้การทำงานกับ Micro-influencer ที่มีผู้ติดตามเฉพาะกลุ่มก็อาจสร้างผลลัพธ์ที่ดีกว่าด้วย เพราะมีความใกล้ชิดกับกลุ่มเป้าหมายมากกว่า การทำความเข้าใจตัวเลข และผลลัพธ์ที่ได้จากแคมเปญเหล่านี้ ถือเป็นส่วนสำคัญในการเรียนรู้ของ Performance Marketing Course สมัยใหม่อีกด้วย
ตัวอย่างเช่น
เมื่อต้องการโปรโมตหลักสูตร Performance Marketing Course แทนที่จะจ้าง Influencer ชื่อดังมาพูดโปรโมตแบบกว้างๆ พวกเขาเลือกที่จะร่วมงานกับ Micro-influencer ที่เป็นคนทำคอนเทนต์ให้ความรู้การตลาดกับเจ้าของร้านค้าออนไลน์ โดยให้ทำคอนเทนต์แบบการโยนโจทย์ให้ทำ แทนที่จะเขียนสคริปต์ให้พูด เพื่อให้ Creator สร้างคอนเทนต์รีวิวคอร์สเรียนผ่าน case study ของตัวเอง ทำให้คอนเทนต์นั้นมีความน่าเชื่อถือ และส่งผลให้ผู้ติดตามของ Creator ที่สนใจเรื่องนี้อยู่แล้ว อยากสมัครเข้ามาเรียนมากขึ้น
2.3 จับมือกับแบรนด์อื่นๆ
ในยุคนี้การทำการตลาดโดยลำพังอาจไม่เพียงพอเสมอไป หนึ่งในกลยุทธ์ที่สร้างการเติบโตได้อย่างรวดเร็ว และน่าสนใจคือการจับมือร่วมกับแบรนด์อื่นๆ ซึ่งเป็นเหมือนทางลัดในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ เพราะเป็นการเปิดโอกาสให้กลุ่มผู้ติดตามที่เชื่อมั่นในแต่ละแบรนด์ได้มารู้จักอีกแบรนด์หนึ่ง ทำให้ทั้งสองฝ่ายสามารถขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มใหม่ได้พร้อมกัน โดยใช้ต้นทุนที่ไม่มาก ซึ่งสิ่งสำคัญของการเลือกพาร์ทเนอร์คือการมองหาแบรนด์ที่มีกลุ่มเป้าหมายที่ใกล้เคียงกัน และในขณะเดียวกัน ก็ต้องมีสินค้าหรือบริการที่ไม่ทับซ้อนกันด้วย
การจับคู่ที่ถูกต้องจะช่วยส่งเสริมให้ลูกค้ารู้สึกว่าการร่วมมือครั้งนี้มอบประโยชน์ให้พวกเขามากขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้จึงไม่ใช่แค่การแลกเปลี่ยนฐานลูกค้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ๆ ที่น่าสนใจให้กับแบรนด์ และสามารถเป็นที่น่าจดจำได้มากกว่าการทำโปรโมชันแบบเดิมๆ
ตัวอย่างเช่น
คอร์ส Digital Marketing ที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นคนรุ่นใหม่และเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก ได้จับมือกับ Co-working Space ที่มีกลุ่มลูกค้าตรงกันพอดี
ทั้งสองแบรนด์สร้างแคมเปญร่วมกัน โดย Co-working Space จะมอบส่วนลดพิเศษสำหรับการสมัครอบรมการตลาดให้กับสมาชิกของตนเอง ในขณะที่ฝั่งผู้สอนคอร์ส Digital Marketing ก็จะมอบบัตรใช้งาน Co-working Space ฟรี 1 เดือนให้กับนักเรียนที่ลงทะเบียนใหม่ การร่วมมือครั้งนี้ทำให้ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนฐานลูกค้ากันโดยตรง และยังช่วยเสริมภาพลักษณ์ให้แบรนด์ดูแข็งแกร่ง และเข้าใจกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ถือเป็นการสร้างแคมเปญที่มอบประโยชน์ให้ทุกฝ่ายอย่างแท้จริง
3. ปรับตัวเข้าสู่ยุค AI และ Martech แบบเต็มตัว
หลังจากมีรากฐานที่มั่นคง และกลยุทธ์การเติบโตที่ชัดเจนแล้ว สเต็ปสุดท้ายที่เปรียบเหมือนจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่สุดก็คือการนำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นเครื่องมือหลัก เพราะในโลกการตลาดปัจจุบันที่ข้อมูลมีปริมาณเอยะมาก และพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนั้น การทำงานแบบเดิมๆ โดยใช้แรงคนอย่างเดียวอาจมีประสิทธิภาพไม่เพียงพออีกต่อไป
ดังนั้น การปรับตัวเข้าสู่ยุค AI และ Martech จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพราะเครื่องมือเหล่านี้สามารถช่วยให้การทำงานของเราดีขึ้น และเร็วขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ข้อมูลวิเคราะห์เพื่อสร้างแคมเปญที่ตรงใจลูกค้ามากขึ้น การใช้ระบบอัตโนมัติทำงานซ้ำซ้อน แทนเรา หรือการใช้เพื่อหาข้อมูลเชิงลึกมาช่วยในการตัดสินใจทำกลยุทธ์
3.1 ใช้ Martech ที่มี AI
ในปัจจุบัน Martech ได้พัฒนาไปอีกขั้นด้วยการฝังเทคโนโลยี AI เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบ ทำให้เครื่องมือเหล่านี้ไม่ได้เป็นแค่ผู้ช่วยทำงาน แต่กลายเป็น ‘ที่ปรึกษา’ ที่ชาญฉลาดขึ้น
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือความสามารถในการวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า โดย AI สามารถประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาลเพื่อค้นหารูปแบบที่ซับซ้อน เช่น การช่วยแบ่งกลุ่มเป้าหมายแบบอัตโนมัติตามแนวโน้มการซื้อ ซึ่งแม่นยำและประหยัดเวลากว่าการทำด้วยตัวเองมาก ยิ่งไปกว่านั้น เครื่องมือบางตัวยังสามารถให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์ได้ เช่น การแนะนำช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการส่งแคมเปญ หรือการแนะนำสินค้าที่ควรจะนำเสนอให้ลูกค้าแต่ละกลุ่ม การเลือกใช้ Martech ที่มี AI จึงช่วยให้นักการตลาดทำงานโดยมีข้อมูลสนับสนุนและตัดสินใจได้เฉียบคมกว่าเดิม
ตัวอย่างเช่น
ผู้สอน Performance Marketing Course ใช้ระบบ CRM ที่มี AI ฝังตัวอยู่ และต้องการหาผู้เรียนที่มีแนวโน้มจะสนใจอบรมการตลาดขั้นสูง แทนที่จะต้องมานั่งวิเคราะห์และแบ่งกลุ่มลูกค้าด้วยตัวเอง ผู้สอนสามารถใช้ AI ในระบบประมวลผลพฤติกรรมของลูกค้าทั้งหมด เช่น ประวัติการเข้าชมเว็บไซต์ การคลิกอีเมล หรือคอร์สที่เคยเรียน จากนั้น AI จะสร้างกลุ่มเป้าหมายที่เรียกว่ากลุ่มที่มีแนวโน้มจะซื้อ Performance Marketing Course ใหม่ขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ทำให้แบรนด์สามารถส่งโปรโมชันไปให้คนกลุ่มนี้ได้โดยตรง ช่วยให้การตลาดแม่นยำ และใช้งบประมาณได้คุ้มค่ากว่าการยิงโฆษณาหาคนทั่วไปมาก
3.2 ใช้ GenAI ช่วยทำงาน
นอกเหนือจาก Martech ที่มีความสามารถสูงขึ้นแล้ว อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทคือ Generative AI โดยหลักสำคัญของการนำ GenAI มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด คือการมองว่านี่ไม่ใช่เครื่องมือที่จะมาทำงานแทนที่คน แต่เป็นเหมือนผู้ช่วยที่จะเข้ามาเสริมศักยภาพการทำงานของนักการตลาดให้งานออกมามีประสิทธิภาพมากขึ้น
โดยความสามารถหลักของการ GenAI คือการช่วยลดระยะเวลา และขั้นตอนการทำงานที่ต้องทำซ้ำๆ หรือการเริ่มต้นคิดงานจากศูนย์ ซึ่งจะช่วยปลดล็อกให้นักการตลาดสามารถนำเวลาและความคิดสร้างสรรค์ไปใช้กับงานที่ต้องอาศัยการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ได้มากขึ้น นับเป็นการเปลี่ยนวิธีการทำงานที่จะช่วยเพิ่มทั้งประสิทธิภาพ และประสิทธิผลไปพร้อมๆ กันเลย
ตัวอย่างเช่น
ธุรกิจที่เปิดคอร์สอบรมการตลาด ต้องการวางแผนคอนเทนต์สำหรับโซเชียลมีเดียเป็นเวลา 1 เดือน แทนที่จะเริ่มต้นคิดทุกอย่างจากศูนย์ ทีมงานอาจใช้ GenAI ช่วยระดมสมองหาหัวข้อที่น่าสนใจกว่า 20 หัวข้อ จากนั้นเลือกหัวข้อที่ดีที่สุดมาให้ GenAI ช่วยร่างโครงสร้างของบทความเบื้องต้น หน้าที่ของนักการตลาดคือการนำโครงร่างนั้นมาต่อยอด โดยการเพิ่มกรณีศึกษาจริงจากผู้เรียน หรือใส่ข้อมูลเชิงลึกในมุมมองของแบรนด์เข้าไป วิธีการนี้ช่วยลดเวลาในการทำงาน Routine ลง ทำให้ทีมมีเวลาเหลือไปทำงานเชิงกลยุทธ์ เช่น การวิเคราะห์ผลแคมเปญเก่า หรือวางแผนสำหรับคอร์สอื่นๆ เช่น คอร์ส Digital Marketing หรือ Performance Marketing Course
| Right Lane แนะนำ !! |
หลังจากได้เห็นประโยชน์ของ GenAI ในการช่วยงานแล้ว หากใครสนใจที่จะนำศักยภาพของ AI ไปปรับใช้กับธุรกิจในภาพรวมเพื่อสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดด สามารถอ่านเพิ่มเติมได้จากบทความ |
3.3 ศึกษา Agentic AI ให้ดี
Agentic AI คือเทคโนโลยีขั้นกว่าของ GenAI ที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้นในอนาคต โดยมีความแตกต่างกันคือ GenAI ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือที่สร้างสรรค์ผลลัพธ์ตามคำสั่งทีละอย่าง แต่ Agentic AI ทำงานในลักษณะของระบบที่สามารถรับคำสั่งเป็นเป้าหมายที่ซับซ้อน จากนั้นจึงวางแผน และดำเนินการต่างๆ ต่อเนื่องได้เองโดยอัตโนมัติเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น
ทำให้การมาของ Agentic AI สามารถเปลี่ยนรูปแบบการทำงานได้อย่างสิ้นเชิง จากเดิมที่นักการตลาดต้องคอยสั่งงาน AI ทีละอย่าง จะเปลี่ยนไปสู่การมอบหมายโปรเจกต์หรือ Workflow ทั้งหมดให้ AI จัดการได้ ซึ่งหมายความว่าบทบาทของนักการตลาดจะถูกยกระดับจากการเป็นผู้ลงมือทำ ไปสู่การเป็นผู้วางกลยุทธ์ และผู้ควบคุมที่คอยดูแลภาพรวมมากขึ้น
ตัวอย่างเช่น
ผู้สอนคอร์ส Digital Marketing ต้องการสร้างบทความ SEO สักชิ้น แทนที่จะเริ่มค้นคว้าข้อมูลคู่แข่งด้วยตัวเอง ก็สั่ง Agentic AI ให้ไปสแกน และวิเคราะห์บทความของคู่แข่งที่ติดอันดับต้นๆ แล้วให้สรุปประเด็นสำคัญพร้อมกับสร้างเป็นโครงร่างบทความใหม่ที่มีมุมมองแตกต่างออกไปได้เลย
ตัว Agentic AI ก็จะไปจัดการกระบวนการทั้งหมดนี้ให้เองโดยอัตโนมัติ ผลลัพธ์คือผู้สอนคอร์ส Digital Marketing ก็จะได้โครงร่างบทความที่ผ่านการวิเคราะห์มาอย่างดี พร้อมนำไปต่อยอดได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาไปกับขั้นตอนการรวบรวมข้อมูลเลย
บทสรุป
จากข้อมูลทั้งหมดจะเห็นได้ว่า สิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญของการเป็นนักการตลาดออนไลน์มืออาชีพในยุคนี้ ไม่ใช่การแค่การวิ่งไล่ตามทุกเทรนด์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น แต่คือการสร้างสมดุลที่ลงตัวระหว่าง 3 องค์ประกอบสำคัญนั่นคือการวางรากฐานแบรนด์ที่แข็งแกร่ง การรู้จักใช้โซเชียลแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อเพิ่มการเติบโต และการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของงานให้ดีขึ้น
ดังนั้นหากนักการตลาดออนไลน์สามารถเข้าใจทั้ง 3 องค์ประกอบนี้ และนำไปปรับใช้ได้ ก็จะสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคง ไม่ว่าโลกของการตลาดจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหนก็ตาม
—————————
📌 สำหรับใครที่สนใจ คอร์ส Digital Marketing อบรมการตลาด เพื่อเพิ่มยอดขายผ่านหน้าเว็บไซต์ ยิงแอดครบทุก Platform พร้อมทั้งการวิเคราะห์ Conversion ด้วย data analytics ทั้งรูปแบบคอร์สเรียนออนไลน์, คอร์สเรียนแบบส่วนตัว หรือ In-House Training
.
📞 ติดต่อสอบถามข้อมูลกับ Right Lane Academy ได้ที่ 👇🏻
โทร : +66 (0) 94-616-3651 K.Por (Admin Rightlane)
Line : @rightlane
Facebook : https://www.facebook.com/RightLaneAcademy
ชญานิศ จิตรีปลื้ม (นิก)
ที่ปรึกษาด้าน digital Strategy และ Performance Marketing มามากกว่า 10 ปี อาจารย์พิเศษด้านการตลาด ให้กับมหาวิทยาลัยชั้นนำ อาทิ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
(Digital Marketing Strategy )
ประสบการณ์วางแผนกลยุทธ์ทางด้าน Digital Marketing โดยเฉพาะ Online Platform ยอดนิยม เช่น Facebook ads , Google ads , SEO , Tiktok ,
Line , Youtube , Marketplace Ads มากกว่า 500+ Campaign (Digital Media Tools )
ประสบการณ์ด้าน Consult เทคนิคเชิงลึกสำหรับ Digital Media Tools เพื่อให้ทุกงบการลงทุนโฆษณาคุ้มค่ามากที่สุด อาทิเช่น การเพิ่ม Conversion ให้ธุรกิจ ,
เทคนิค ทำอย่างไรให้ CPA ราคาถูกลง , มีคนทักเยอะ ไม่มีคุณภาพ ปิดการขายไม่ได้ , สินค้าเสี่ยง Policy พร้อมเทคนิคการยิงแอดยังไงให้ไม่โดน Reject
บทความที่เกี่ยวข้อง

เปิดสูตรลับนักการตลาดออนไลน์ โพสต์ขายยังไงให้ยอดพุ่ง
Home Table of Contents สำหรับคนที่ทำการตลาดออนไลน์ในยุคนี้ ผมเชื่อว่าปัญหาคลาสสิกที่หลายๆ คนเจอกันบ่อยที่สุด ก็คงจะเป็นการโพสต์คอนเทนต์ขายของไปแล้วมันเงียบ ไม่มียอดเข้ามาเลยใช่ไหมครับ เราอาจจะรู้สึกว่าโพสต์ไปเท่าไหร่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่พอหันไปเ

6 ทักษะเอาตัวรอดของนักการตลาดออนไลน์ ในยุค AI ครองเมือง
Home Table of Contents ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาผมว่าคนในสายงานการตลาดออนไลน์น่าจะรู้สึกคล้ายๆ กันนะครับ ว่า AI มันเก่งขึ้นทุกวันจริงๆ เผลอแปบเดียวมันก็ช่วยเราวิเคราะห์ข้อมูลที่ซับซ้อน หรือบางทีก็เขียนคอนเทนต์ได้ดีจนน่าตกใจ จนหลายๆ องค์กรเลือกที่จะใช้

เจาะลึก 3 ขั้นตอนสำคัญ อัปสกิลนักการตลาดออนไลน์ให้เป็นมือโปร
Home Table of Contents เป็นที่รู้กันดีว่าการทำการตลาดออนไลน์ในปัจจุบันนั้นเต็มไปด้วยความท้าทายในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นอัลกอริทึมที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แพลตฟอร์มใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นแทบทุกวัน ไปจนถึงการแข่งขันที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ความรู้จากการอบ